พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7600/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และผลกระทบต่อการจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลย
ในการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ในครั้งหลัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแสดงว่า จำเลยที่ 1ทำงานอยู่ ณ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขลำนารายณ์ให้ยกคำร้องและให้โจทก์แถลงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวในวันที่โจทก์ยื่นคำร้อง และท้ายคำร้องของโจทก์มีหมายเหตุว่า "ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว" จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวในวันยื่นคำร้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้โจทก์ทราบอีกโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องแถลงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เมื่อโจทก์ไม่แถลงภายในกำหนดเวลา กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉย ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อันเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174 (2) ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม มาตรา 132 (1) แม้ตามมาตรา 132 (1)นี้ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ แต่คดีนี้ เหตุที่ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องเป็นเพราะโจทก์เพิกเฉยไม่แถลงเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1ศาลจึงควรจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลเท่านั้นไม่สมควรจำหน่ายทั้งคดีออกจากสารบบความ ทั้งโจทก์ได้ดำเนินการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว และคดีของจำเลยที่ 1 ได้ยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น โดยศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องอุทธรณ์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 กรณีมีเหตุสมควรไม่จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2โดยให้โจทก์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป และไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป และไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการส่งสำเนาอุทธรณ์ และผลกระทบต่อการรับอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง 2 ประการ คือ สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ในกรณีสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์หากจำเลยไม่เห็นด้วยต้องทำเป็นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223,229ซึ่งมาตรา 235 บัญญัติบังคับให้ต้องส่งสำเนาอุทธรณ์แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์หากจำเลยไม่เห็นด้วยต้องทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234 คดีนี้จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองประการ และโต้แย้งคำสั่งทั้งสองประการรวมกันมาโดยทำเป็นอุทธรณ์ ไม่ได้แยกทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ขึ้นต่างหาก ดังนี้ ในกรณีจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จำเลยต้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายใน 7 วัน ตามคำสั่งศาลชั้นต้น แต่จำเลยไม่ได้ชำระเงินค่าส่งภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็ต้องถือว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นสั่งไว้ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยไม่ติดใจให้ศาลมีคำสั่งเมื่ออุทธรณ์คำสั่งขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยตกไป ดังนั้น ในส่วนที่เป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ จึงไม่เป็นสาระ แก่คดีที่จำเลยจะขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะพ้นกำหนดเสียแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลฎีกา: เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์รวมของที่ดินที่ถูกเวนคืน หากไม่ปฏิบัติตามศาลมีสิทธิไม่รับฎีกา
เมื่อโจทก์ทั้งสี่ยื่นฎีกาแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ทั้งสี่เสียค่าขึ้นศาลในส่วนของแต่ละคนเพิ่มภายใน10 วัน แม้โจทก์ทั้งสี่เห็นว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดที่ถูกเวนคืน ในการจ่ายค่าทดแทนของจำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสี่ร่วมกัน ในการคำนวณทุนทรัพย์เสียค่าฤชาธรรมเนียมในคดีจึงต้องคำนวณ จากทุนทรัพย์ที่เป็นข้อโต้แย้งของการจ่ายค่าทดแทนในที่ดินโฉนดที่ถูกเวนคืน มิใช่เสียค่าขึ้นศาลในแต่ละคนตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม โจทก์ทั้งสี่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวก่อน หากโจทก์ทั้งสี่ไม่เห็นพ้องกับคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งในภายหลังได้เมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสี่จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5676/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องการส่งหมาย และไม่แถลงภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องของโจทก์ว่า "นัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยภายใน 7 วัน ส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 5 วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง" และสั่งคำร้องขอส่งหมายนัดแก่จำเลยข้ามเขตซึ่งโจทก์ได้ขออนุญาตให้ปิดหมายด้วยว่า "จัดการให้ให้ส่งโดยวิธีธรรมดาก่อนเนื่องจากไม่ปรากฏต้นฉบับหนังสือรับรองของจำเลยที่ 1" ซึ่งเป็นคำสั่งที่ชัดแจ้งอยู่แล้วเมื่อปรากฏว่าโจทก์ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของศาลส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองโดยวิธีปิดหมายผิดไปจากคำสั่งของศาลอันเป็นการส่งที่ไม่ชอบ ศาลชั้นต้นจึงสั่งในรายงานการส่งหมายเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2539 ว่า"ศาลยังไม่มีคำสั่งให้ปิดหมาย การส่งหมายไม่ชอบ รอโจทก์แถลง" และเจ้าหน้าที่ศาลได้มีหนังสือแจ้งผลการส่งหมายดังกล่าวให้ทนายโจทก์ทราบในวันเดียวกันโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนและทนายโจทก์ได้รับหนังสือนั้นแล้ว ในหนังสือมีข้อความระบุไว้ด้วยว่า "เป็นการส่งหมายไม่ชอบ เพราะศาลไม่ได้สั่งให้ปิดหมาย"ดังนั้น โจทก์ย่อมทราบและเข้าใจดีตั้งแต่วันรับหนังสือนั้นว่ายังส่งหมายให้จำเลยโดยชอบไม่ได้ จะต้องมีการส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยใหม่ และโจทก์ต้องแถลงให้ศาลทราบภายใน 5 วัน แม้ศาลจะไม่ได้กำหนดให้โจทก์แถลงภายในกี่วันก็มีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่าให้แถลงภายใน 5 วันตามคำสั่งศาลที่ได้ให้ไว้ และโจทก์ได้ทราบแล้วตั้งแต่แรกตามที่ได้วินิจฉัยมาโดยศาลไม่จำต้องสั่งให้โจทก์แถลงภายในกี่วันซ้ำอีก แต่โจทก์กลับเพิกเฉยจนล่วงเลยกำหนดเวลามาหลายวัน มิได้แถลงให้ศาลทราบ เหตุนี้เมื่อเจ้าหน้าที่รายงานเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 เรื่องที่โจทก์มิได้แถลงต่อศาลชั้นต้นภายในเวลา ที่กำหนด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอดำเนินคดีอนาถาไม่เป็นไปตามขั้นตอน, การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล, และผลของการไม่นำค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาล
คำร้องฉบับลงวันที่23ธันวาคม2537ของจำเลยทั้งสองมิใช่เป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา205วรรคสองเพราะมิได้มีการพิจารณาคดีโดยขาดนัดและการที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่โดยอ้างว่าเสมียนทนายจดวันนัดผิดนั้นหากเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองขาดการเอาใจใส่การพิจารณาคดีของศาลไม่ใช่เหตุที่ยกขึ้นมาอ้างเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องจึงชอบแล้ว คำร้องฉบับลงวันที่30ธันวาคม2537ของจำเลยทั้งสองมีข้อความทำนองเดียวกับคำร้องฉบับลงวันที่23ธันวาคม2537โดยมิได้ดำเนินการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคหนึ่งจึงมิใช่คำร้องขอดำเนินคดีอนาถาใหม่ทั้งกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอดำเนินคดีอนาถาในชั้นอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยมิได้มีการสืบพยานแม้แต่ปากเดียวกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่หาได้ไม่ต้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคห้าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องจึงชอบแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่23ธันวาคม2537วันนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าหากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน7วันเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการคุมประพฤติและการเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกรอการลงโทษเป็นไม่รอการลงโทษเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือนและปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 จำเลยไม่ไปรายงานตัวตามกำหนด ศาลชั้นต้นยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนโทษจากการรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์-ภาค 3 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4640/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายในกำหนด แม้ศาลไม่ต้องระบุผลการทิ้งฟ้องโดยชัดแจ้ง
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่18กรกฎาคม2537ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของผู้ร้องในวันรุ่งขึ้นว่าให้รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน5วันไม่มีผู้รับให้ปิดโดยเจ้าหน้าที่ของศาลได้ประทับตามยางกำหนดให้ผู้ร้องมาทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่21กรกฎาคม2537ซึ่งผู้ร้องได้ลงชื่อรับทราบไว้แล้วกรณีจึงถือได้ว่าผู้ร้องทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่21กรกฎาคม2537แต่ผู้ร้องมิได้มานำส่งสำเนาอุทธรณ์จนกระทั่งวันที่17สิงหาคม2537อันล่วงเลยกำหนดเวลา5วันตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีได้รายงานต่อศาลชั้นต้นว่าพ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วผู้ร้องไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งศาลชั้นต้นจึงให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2),246ประกอบด้วยมาตรา153แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แม้ผู้ร้องจะได้เสียค่าธรรมเนียมในการนำส่งก็ไม่ทำให้ผู้ร้องหมดหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการนำส่งตามตำสั่งของศาลชั้นต้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)บัญญัติว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเมื่อผู้ร้องทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งกำหนดให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วแต่ผู้ร้องไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าผู้ร้องไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ประกอบด้วยมาตรา246จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์โดยไม่จำเป็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องสั่งไว้อย่างชัดแจ้งด้วยว่า"หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือว่าทิ้งฟ้อง"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการนำส่งฎีกา ทำให้ถูกวินิจฉัยเป็นการทิ้งฟ้อง
จำเลยยื่นฎีกาแแล้วไม่มานำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ตามกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่ง แม้จำเลยจะชำระค่าใช้จ่ายในการนำส่งไว้แล้วก็ไม่ทำให้จำเลยหมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งตามคำสั่งศาลชั้นต้น ทั้งเป็นการมาเสียค่าใช้จ่ายในการนำส่งเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามคำสั่งแล้วอีกด้วย จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2), 246, 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5372/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234และมาตรา236ไม่ได้ห้ามมิให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งแก่อีกฝ่ายศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งให้อีกฝ่ายได้เพื่อให้อีกฝ่ายได้ทราบถึงข้ออุทธรณ์ซึ่งหากมีข้อคัดค้านอย่างใดก็จะได้แก้อุทธรณ์เพื่อประกอบการพิจารณาของศาลเมื่อโจทก์ทราบคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แก่จำเลยโดยชอบแล้วแต่โจทก์ไม่ปฎิบัติตามกรณีต้องด้วยมาตรา134(2)ถือได้ว่าเป็นการทิ้งฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาล และผลกระทบต่อการดำเนินคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่28พฤษภาคม2536ว่าคดีผู้ร้องไม่มีมูลให้ยกคำร้องหากผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้ผู้ร้องนำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน15วันเมื่อผู้ร้องไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด7วันนับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคท้ายแต่ผู้ร้องได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องซึ่งผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ได้ภายใน15วันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234แต่ผู้ร้องหาได้กระทำไม่คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่28พฤษภาคม2536จึงยังคงมีผลบังคับต่อไปและย่อมเป็นอันถึงที่สุดการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องในเวลาต่อมาต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าพอที่จะรวบรวมเงินเป็นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนได้แล้วขอนำค่าธรรมเนียมศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลา10วันนับแต่วันยื่นคำร้องจึงเป็นการยื่นคำร้องเมื่อพ้นระยะเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วแม้พอถือได้ว่าเป็นการที่ผู้ร้องขอขยายระยะเวลานำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นแต่ก็ไม่เข้ากรณีมีเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตตามคำขอของผู้ร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23คดีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตและกำหนดเวลาให้ผู้ร้องนำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลอีกได้