คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ไม่มีความผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3294/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุและการครอบครองอาวุธปืนของภริยา ผู้ต้องหาไม่มีความผิด
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 2 นาฬิกา ผู้ตายกับพวกปล้นเอาทรัพย์สินในบ้านที่เกิดเหตุไปได้หลายอย่าง จากนั้นผู้ตายซึ่งมีอาวุธปืนพกพร้อมกระสุนปืนได้เข้าไปที่มุ้งของจำเลยในขณะที่จำเลยนอนอยู่ในมุ้งแต่ผู้เดียวในกระท่อมในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุ แล้วผู้ตายร้องบอกให้จำเลยนอนเงียบ ๆ จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายเป็นของ ล.ภริยาจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้โดยชอบด้วยกฎหมาย ล.มอบอาวุธปืนและกระสุนปืนให้จำเลยนำไปเฝ้าคุ้มครองดูแลทรัพย์สินรวมของจำเลยและ ล. ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยและ ล.ในขณะที่ ล. ก็อยู่ที่บ้านด้วย ดังนี้ ถือได้ว่าการครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนยังอยู่กับ ล. จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ดุจ กัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2431/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินโดยเชื่อว่ามีสิทธิ และความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีความผิด
การที่ศาลจะมีอำนาจสั่งให้บุคคลใดออกไปจากที่ดินของรัฐนั้นต้องเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาว่า บุคคลดังกล่าวได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ แล้ว เมื่อที่พิพาทยังไม่อาจฟังได้แน่ชัดว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์และจำเลยยึดถือครอบครองอยู่โดยเชื่อว่าตนมีสิทธิครอบครองต่อจากบิดา จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลไม่อาจสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทได้ การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำสั่งของนายอำเภอเพราะเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันกับที่วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 แม้ปัญหานี้ยุติแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา215 และ 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5043/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทที่มีดอกเบี้ยเกินอัตรา: ผู้สั่งจ่ายไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค หากมูลหนี้ผิดกฎหมาย
เมื่อเช็คพิพาทออกในมูลหนี้กู้ยืมเงินและมี ดอกเบี้ย เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมอยู่ด้วย แม้ต่อมาธนาคารตามเช็คจะปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ผู้ออกเช็คก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตรวจค้นและยึดทรัพย์สินโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ไม่เป็นการละเมิด แม้ผู้ถูกตรวจค้นไม่ได้กระทำผิด
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรค้นร้านโจทก์โดยเชื่อและสงสัยว่าม้วนวีดีโอเทปและเครื่องเล่นวีดีโอเทปของกลางเป็นสิ่งที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลบหนีภาษีศุลกากร จึงยึดของกลางดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ความผิดของโจทก์และกรณีที่โจทก์ขอของกลางดังกล่าวคืน แต่ปรากฎว่าหลักฐานของโจทก์ขัดกับบันทึกการตรวจค้นและจับกุม จำเลยที่ 1 จึงไม่คืนให้ และสั่งดำเนินคดีแก่โจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2กระทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์แม้ว่าโจทก์จะมิได้กระทำผิดพระราชบัญญัติศุลกากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่: เมื่อเจ้าพนักงานไม่มีความผิด ผู้สนับสนุนก็ไม่มีความผิด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเมื่อศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่3 ไม่ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการแล้วจำเลยที่ 5จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการด้วย คงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรกเท่านั้น แม้จำเลยที่ 5 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเพราะเป็นเหตุในลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4547/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนความผิดอาญา: ตัวการไม่มีความผิด ผู้สนับสนุนจึงไม่มีความผิด, ศาลไม่วินิจฉัยข้อหาที่โจทก์ไม่เคยอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 เป็นนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัด จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยเสมียนยานพาหนะจังหวัดเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการไม่ได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 จึงไม่อาจจะมีผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนความผิดดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 147, 157, 161, 162, 264, 265 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 83, 147, 161 ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 147, 161 ประกอบด้วยมาตรา 86 ข้อหาความผิดอื่นให้ยก เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองในข้อหาตามมาตรา 157, 264 และ 265 แล้วโจทก์มิได้อุทธรณ์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ฝ่ายเดียว และศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามมาตรา 147 และ 161 จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามมาตรา 161 ก็จะยกข้อหาตามมาตรา 157, 264 และ 265 ซึ่งยุติไปแล้วขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4721/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ ชนรถที่จอดเสียบนถนน ผู้ขับรถที่จอดเสียไม่มีความผิด
ขณะเกิดเหตุรถของจำเลยที่ 2 กำลังจอดอยู่กลางถนนจำเลยที่ 2 พยายามจะเคลื่อนรถให้พ้นจากการกีดขวางบนถนน แต่ทำไม่ได้ จึงได้เปิดไฟกะพริบหน้าหลังและเปิดไฟใหญ่หน้ารถไว้เป็นที่สังเกต นับว่าเป็นการกระทำตามสมควรที่จำเลยที่ 2 จะกระทำได้ใน สถานการณ์เช่นนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ารถของตนกีดขวางการจราจร บนถนนอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถมาโดยเร็ว แล้วชนรถของ จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มี คนได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส จึงเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว มิใช่เป็นผลจาก การกระทำของจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2714/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้ถูกทำร้ายมีรูปร่างใหญ่โตกว่าและเป็นฝ่ายเริ่มทำร้าย การกระทำเพื่อป้องกันตนเองจึงเป็นเหตุให้ไม่มีความผิด
ผู้เสียหายอายุ 18 ปี ส่วนจำเลยอายุเพียง 16 ปี ผู้เสียหายรูปร่างล่ำสันและมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่กว่าจำเลยวันเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเรื่องโดยเข้าชกและขึ้นเข่าเอาแก่จำเลยที่ท้องหลายทีในลักษณะข่มเหงรังแก ในชั้นแรกจำเลยได้ใช้มือเปล่าป้องกันตัว แต่ก็ถูกผู้เสียหาย ทำร้ายต่อมาจำเลยจึงใช้เหล็กตะไบสามเหลี่ยมที่มีติดตัว แทงถูกที่ชายโครงผู้เสียหาย 1 ที ในขณะกำลังถูกผู้เสียหาย ทำร้ายติดพันอยู่ดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยจำเป็นต้องป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อขึ้นการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2301/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มีเจตนาและส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้จะอยู่ในเหตุการณ์
จำเลยทั้งสองกับผู้ตายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน วันเกิดเหตุ บ.ชวนจำเลยทั้งสองไปเที่ยวโดยนั่งรถสามล้อไป ด้วยกัน เมื่อผ่านหน้าบ้านผู้ตายพบผู้ตาย บ. ผละลงจากรถ ไปยิงผู้ตายโดยกะทันหันเพราะมีเรื่องอาฆาตกันอยู่เดิม ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รู้หรือร่วมคบคิดกับ บ. มาก่อนแม้เมื่อ บ. ยิงผู้ตายแล้วจะย้อนกลับมาขึ้น รถสามล้อดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ถีบไป และจำเลยที่ 2 จะเคยไปถามหาผู้ตายก่อนเกิดเหตุพฤติการณ์เพียงเท่านี้ จะถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนในการฆ่าผู้ตาย หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2834/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของบริษัทประกันภัยต้องพึ่งการกระทำละเมิดของจำเลยต่อผู้เอาประกัน หากจำเลยไม่มีความผิด ผู้รับประกันภัยไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 2โจทก์ทั้งสองต่างฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด ทำให้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้นั้นเสียหายโดยโจทก์ที่ 1 ได้เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามสัญญาประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 มาฟ้องและโจทก์ที่ 2 ฟ้องเรียกร้องค่าที่สินค้าซึ่งบรรทุกมาในรถคันดังกล่าวเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เช่นนี้แม้คดีสำหรับโจทก์ที่ 1 จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคแรกแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไปแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับช่วงสิทธิใด ๆ ไปจากโจทก์ที่ 2 เลยโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนสมควรยกขึ้นวินิจฉัยไปถึงคดีในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ตาม มาตรา 142(5) ด้วย จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
of 6