พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5749/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเดิมที่รับรองไว้ และโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ โดยจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่ากรณีไม่อาจนับโทษจำเลยต่อจากโทษในอีกคดีหนึ่งได้เพราะความผิดที่จำเลยกระทำในคดี ดังกล่าวและคดีนี้เป็น การกระทำกรรมเดียวกัน การที่จำเลยฎีกาโดยอ้างข้อเท็จจริงและเหตุผลต่าง ๆ เพื่อให้รับฟังว่าการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้และคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน จึงไม่อาจนับโทษจำเลยต่อได้เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง
ในความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ในความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5706/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาต้องสอดคล้องกับฟ้อง หากข้อเท็จจริงต่างกัน ต้องยกฟ้อง แม้มีหลักฐานอื่นสนับสนุน
โจทก์ฟ้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดด้วยการใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ร่วมกันฆ่าผู้ตายแต่ในการพิจารณาศาลชั้นต้นพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงในการพิจารณาจะรับฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้ จ้าง วานให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปฆ่าผู้ตาย ก็เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับ ข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลชั้นต้นต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดและลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 288, 84 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 215 ประกอบด้วยมาตรา 192 วรรคสอง แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นและพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังในการพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ อันเป็นเหตุให้ต้องพิพากษายกฟ้องแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5706/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อแตกต่างของข้อเท็จจริงในคำฟ้องและข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟัง ส่งผลให้ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ก่อให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดด้วยการใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมกันฆ่าผู้ตายเมื่อข้อเท็จจริงในการพิจารณารับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้ จ้าง วาน ให้ผู้อื่นไปฆ่าผู้ตาย จึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5695/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาอื่นมิผูกพันศาลในการพิจารณาคดีอาญาอื่น จำเป็นต้องมีการสืบพยานหลักฐานต่อหน้าจำเลย
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น แม้ศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษ จ. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร่วมกับจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์จะอ้างข้อเท็จจริงในคดีที่ จ. เป็นจำเลยมาให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยคดีนี้หาได้ไม่เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้องในคดีรังนกอีแอ่น: ข้อจำกัดการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ
ความผิดฐานเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตฐานมีรังนกอีแอ่นไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และฐานขึ้นไปบนเกาะที่นกอีแอ่นทำรังอยู่ตามธรรมชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่นฯมีโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแยกข้อหาความผิดของจำเลยทั้งสามฐานดังกล่าวกับความผิดฐานร่วมกับพวกลักทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นกรณีต่างกรรมกันและการพิจารณาว่าอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ หรือไม่ ต้องพิจารณาความผิดแต่ละกระทงแยกเป็นรายกระทงความผิด ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่นฯ ซึ่งเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5349/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องการรับวินิจฉัยอุทธรณ์คดีเกี่ยวกับยาเสพติดและการลักลอบเข้าออกประเทศ โดยจำกัดการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
สำหรับความผิดฐานเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคสอง ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยในความผิดดังกล่าวกระทงละ 1,000 บาท นั้น เป็นความผิดที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้องโจทก์ โดยโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยาน หลักฐานในสำนวนว่า จำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วย ในตัว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกฐานความผิดตามฟ้อง โดยฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องและพิพากษายืนมา เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยความผิดสองฐานนี้รวมกันมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยโต้เถียงดุลพินิจของ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนข้อที่ว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วยในตัวเช่นเดียวกับอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิด สองฐานนี้ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกระทำของจำเลย ดังกล่าว ย่อมฟังได้ต่อไปว่าจำเลยได้มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า 20 กรัม จึงต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อีกบทหนึ่ง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามา ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90
ความผิดซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายืนโดย มิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานดังกล่าว
จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกระทำของจำเลย ดังกล่าว ย่อมฟังได้ต่อไปว่าจำเลยได้มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า 20 กรัม จึงต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อีกบทหนึ่ง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามา ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90
ความผิดซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายืนโดย มิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5303/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจค้นและจับกุมโดยไม่มีหมายค้นและไม่ได้เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าการตรวจค้นและจับกุมจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจไม่มีหมายค้นและไม่ได้เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า การตรวจค้นบ้านจำเลยและจับกุมจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย บันทึกการตรวจค้นและ จับกุมจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยได้นั้น จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียก่อนว่าเจ้าพนักงานตำรวจพบพฤติกรรมซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าจำเลยได้กระทำความผิดมาแล้วสด ๆ อันถือได้ว่าเป็นความผิด ซึ่งหน้าหรือไม่ จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5303/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาญา: การพิจารณาโทษกระทง และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษและฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้จำคุกกระทงละ 5 ปี แม้ศาลชั้นต้นรวมโทษเข้าด้วยกันเป็นจำคุก 10 ปี แต่การพิจารณาสิทธิฎีกาจะต้องแยกโทษแต่ละกระทงเป็นเกณฑ์ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า พยานโจทก์เบิกความมีพิรุธไม่น่าเชื่อถือว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้จากจำเลย และมีการค้นพบเมทแอมเฟตามีนในบ้านจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและน่าสงสัยหลายประการ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีหมายค้นและไม่ได้เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า การตรวจค้นบ้านและจับกุมจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย บันทึกการตรวจค้นและจับกุมจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยได้นั้นการที่จะวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นบ้านจำเลยโดยมีหมายค้นหรือไม่ และมีอำนาจจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับได้หรือไม่ จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า เจ้าพนักงานตำรวจพบพฤติกรรมซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดมาแล้วสด ๆ อันถือได้ว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือไม่ จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า พยานโจทก์เบิกความมีพิรุธไม่น่าเชื่อถือว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้จากจำเลย และมีการค้นพบเมทแอมเฟตามีนในบ้านจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและน่าสงสัยหลายประการ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีหมายค้นและไม่ได้เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า การตรวจค้นบ้านและจับกุมจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย บันทึกการตรวจค้นและจับกุมจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยได้นั้นการที่จะวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นบ้านจำเลยโดยมีหมายค้นหรือไม่ และมีอำนาจจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับได้หรือไม่ จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า เจ้าพนักงานตำรวจพบพฤติกรรมซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดมาแล้วสด ๆ อันถือได้ว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือไม่ จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5248/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจร จำคุก 6 เดือนโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ จำคุก 3 ปี โดยพิพากษาแก้เฉพาะอัตราโทษ ส่วนบทลงโทษคงลงโทษฐานรับของโจรตามเดิม เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจร และศาลอุทธรณ์ไม่ควรเพิ่มโทษจำคุกจำเลย 3 ปี เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461-4462/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อในคดีอาญา แม้โจทก์มิได้ขอในคำฟ้องเดิม ศาลอนุญาตได้หากข้อเท็จจริงสนับสนุน
การขอให้นับโทษต่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติว่าจะต้องกล่าวมาในคำฟ้อง โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้นับโทษต่อในภายหลังได้
คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยโดยมิได้มีคำขอท้ายคำฟ้องแต่ละสำนวนให้นับโทษต่อ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองสำนวนเป็นบุคคลเดียวกันกระทำผิดข้อหาเดียวกัน ขอให้นับโทษในคดีทั้งสองสำนวนต่อกันไป แม้จำเลยไม่คัดค้านคำร้องและไม่เคยรับไว้ในที่ใดว่าเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่คดี สองสำนวนนี้เป็นเรื่องโจทก์คนเดียวกันฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นแห่งเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน และต่อมาศาลสั่งให้รวมการพิจารณาด้วยกัน ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่าที่โจทก์อ้างมาในคำร้องนั้นเป็นความจริง ไม่มีปัญหาว่าจำเลยแต่ละคนอาจจะมิได้เป็นบุคคลคนเดียวกันอันจะทำให้ไม่อาจนับโทษต่อได้ เมื่อโจทก์ได้แสดงความประสงค์ขอให้นับโทษ ต่อมาชัดเจนและจำเลยทั้งสองคดีเป็นบุคคลคนเดียวกัน แม้จำเลยจะมิได้แถลงรับก็เห็นประจักษ์อยู่แล้วย่อมไม่มีทาง ที่ศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของโจทก์เป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากสั่งอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใดจนกระทั่งพิพากษา ต้องถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องขอให้นับโทษต่อโดยปริยายแล้ว
คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยโดยมิได้มีคำขอท้ายคำฟ้องแต่ละสำนวนให้นับโทษต่อ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองสำนวนเป็นบุคคลเดียวกันกระทำผิดข้อหาเดียวกัน ขอให้นับโทษในคดีทั้งสองสำนวนต่อกันไป แม้จำเลยไม่คัดค้านคำร้องและไม่เคยรับไว้ในที่ใดว่าเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่คดี สองสำนวนนี้เป็นเรื่องโจทก์คนเดียวกันฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นแห่งเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน และต่อมาศาลสั่งให้รวมการพิจารณาด้วยกัน ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่าที่โจทก์อ้างมาในคำร้องนั้นเป็นความจริง ไม่มีปัญหาว่าจำเลยแต่ละคนอาจจะมิได้เป็นบุคคลคนเดียวกันอันจะทำให้ไม่อาจนับโทษต่อได้ เมื่อโจทก์ได้แสดงความประสงค์ขอให้นับโทษ ต่อมาชัดเจนและจำเลยทั้งสองคดีเป็นบุคคลคนเดียวกัน แม้จำเลยจะมิได้แถลงรับก็เห็นประจักษ์อยู่แล้วย่อมไม่มีทาง ที่ศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของโจทก์เป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากสั่งอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใดจนกระทั่งพิพากษา ต้องถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องขอให้นับโทษต่อโดยปริยายแล้ว