พบผลลัพธ์ทั้งหมด 298 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีอาญา: การยักยอกทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์มีมูลว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1696/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ในส่วนจำเลยที่ 2-3
คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 เป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี เมื่อฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1696/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตามมาตรา 218 เนื่องจากเป็นคดีข้อเท็จจริง ศาลฎีกายกคำร้อง
คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 เป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี เมื่อฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องห้ามหรือไม่เมื่อประเด็นเปลี่ยนจากการเรียกร้องหนี้ยังไม่ถึงกำหนดเป็นการเรียกร้องหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้ว
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแชร์ประจำงวดเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม2515 รวม 2 งวดเป็นเงิน 4,000 บาท ขณะนั้นเงินค่าแชร์ทั้งสองงวดยังไม่ถึงกำหนดชำระ ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มาฟ้องเรียกไม่ได้ คดีถึงที่สุด คดีหลัง โจทก์มาฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเงินค่าแชร์ประจำงวดเดือนดังกล่าวซึ่งถึงกำหนดที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์แล้ว ดังนี้ คดีก่อนมีประเด็นวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินค่าแชร์ที่ยังไม่ถึงกำหนดหรือไม่ คดีหลังมีประเด็นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าแแชร์ดังกล่าว ที่ถึงกำหนดชำระแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานและการอุทธรณ์คำสั่งศาล การที่คู่ความไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ทำให้คำขอให้สืบพยานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์เป็นเหตุต้องห้าม
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและคู่ความมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา แต่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปจึงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปนั้นจึงไม่ชอบ และศาลฎีกาจำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 219 เมื่อศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์แล้ว โจทก์ร่วมฎีกาขอลงโทษในข้อหาเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์ เช่นนี้ โจทก์ร่วมจะฎีกาในข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาลักทรัพย์อีกไม่ได้เพราะความผิดฐานลักทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
คดีชั้นร้องขัดทรัพย์ ปรากฏว่าเรือนพิพาทซึ่งผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามาราคา 3,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลย คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเรื่องรอการลงโทษ: การอุทธรณ์แก้โทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ ทำให้ฎีกาขอรอการลงโทษเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงความผิดจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษจำคุกให้แม้จะเป็นการแก้ไขมาก จำเลยก็จะฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาเช่าในนามตนเองแล้วอ้างว่าทำแทนผู้อื่นเป็นเหตุต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และการเช่าหลังพ.ร.บ.ควบคุมการเช่าไม่ได้รับความคุ้มครอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านที่เช่าจากโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย ย่อมนอกประเด็นข้อต่อสู้ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟัง
จำเลยทำสัญญาเช่าในนามตนเองเป็นผู้เช่า จำเลยจะนำสืบ(พยานบุคคล) ว่าทำสัญญาเช่าแทนคนอื่นหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข)
ทำสัญญาเช่าบ้านภายหลังพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504ใช้บังคับ แม้เป็นการเช่าอยู่อาศัยก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง
จำเลยทำสัญญาเช่าในนามตนเองเป็นผู้เช่า จำเลยจะนำสืบ(พยานบุคคล) ว่าทำสัญญาเช่าแทนคนอื่นหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข)
ทำสัญญาเช่าบ้านภายหลังพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504ใช้บังคับ แม้เป็นการเช่าอยู่อาศัยก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้เรื่องชำระหนี้หลังศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ถือเป็นการไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 12 กันยายน ถึงวันที่ 22 กันยายน 2512จำเลยซื้อเชื่อสินค้าเก้าอี้ไปจากโจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินค่าซื้อสินค้าเชื่อ จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าตามวันเดือนปีตามฟ้อง จำเลยไม่ได้ซื้อเชื่อสินค้าเก้าอี้เป็นจำนวนเงินจากโจทก์ตามฟ้อง โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ จำเลยมิได้กล่าวแก้ไว้ว่าได้ชำระหนี้ราคาเก้าอี้ตามฟ้องให้โจทก์แล้ว จำเลยจึงจะฎีกาว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไม่ได้เพราะจำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน