คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
นับโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 212 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8847/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษซ้อนกันในคดีอาญา ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์บางส่วน โดยยกคำขอให้นับโทษต่อจากคดีก่อน
คดีนี้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 969/2547 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลฎีกาว่า คดีอาญาหมายเลขดำที่ 968/2547 มีการนับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 965/2547, 966/2547, 967/2547 แล้ว คดีนี้จึงนับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 965/2547, 966/2547, 967/2547 อีกไม่ได้ เพราะเป็นการนับโทษซ้อนกันไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา 22 วรรคหนึ่ง
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 968/2547 ซึ่งเป็นคดีที่ได้มีคำพิพากษาไปก่อนหน้าคดีนี้แล้ว เป็นการใช้ดุลพินิจของศาลในการกำหนดให้เริ่มนับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษในคดีก่อนจึงชอบแล้ว และไม่เป็นการนับโทษซ้อนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7655/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษคดีอาญาซ้อน: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ฯ ที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขการนับโทษ เนื่องจากจำเลยมิได้ยกเหตุในชั้นศาลล่าง
การที่จะวินิจฉัยว่าการนับโทษต่อของศาลชั้นต้นเป็นไปโดยชอบหรือไม่ จะต้องรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติตามที่จำเลยกล่าวอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดในเวลาเดียวกันและเป็นกรรมเดียวกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2328/2548 ของศาลชั้นต้น แต่จำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น ตามอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ และเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าต้องนับโทษในคดีนี้ควบกับคดีดังกล่าว จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5170/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกต่อจากคดีที่ยังไม่ถึงที่สุด หากจำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน
จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาของศาลจังหวัดขอนแก่น ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุก 3 ปี จำเลยยังต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาอยู่ แม้คดีดังกล่าวจะยังไม่ถึงที่สุดและอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ศาลก็สามารถนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5148/2563

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับวันคุมขังเพื่อหักโทษ ต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลออกหมายขัง ไม่นับรวมวันถูกคุมขังในคดีอื่น
การที่จะเริ่มนับวันที่จำเลยถูกคุมขังเพื่อหักวันที่ถูกคุมขังให้จำเลยนั้น จะนำวันที่จำเลยถูกคุมขังในคดีอื่นมาหักจากโทษจำคุกในคดีนี้ไม่ได้ เมื่อจำเลยกระทำความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2557 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ได้ถูกควบคุมตัวในคดีนี้ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 และศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยในวันดังกล่าว จึงต้องเริ่มนับวันที่จำเลยถูกคุมขังนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยไว้ในคดีนี้ คือวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 จำเลยจึงถูกคุมขังมาเพียง 1 วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ/ละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ และการนับโทษต่อจากคดีอื่น
แม้ขณะศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมิได้สอบจำเลยทั้งสองว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อหรือไม่ก็ตาม แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจริง ก็ชอบที่จะนับโทษต่อตามที่โจทก์ขอได้ และเมื่อคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อคือคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1545/2555 ของศาลชั้นต้นนั้น สำนวนคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสองยื่นฎีกาเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.12/2561 ของศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้วพบว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั่นเอง จึงนับโทษต่อให้ตามที่โจทก์ร้องขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกในคดีต่างๆ แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด และผลของการพิพากษาให้ยกฟ้องในบางคดีต่อการนับโทษ
จำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 993/2558 ของศาลชั้นต้น และเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 821/2560 ของศาลชั้นต้น ซึ่งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 993/2558 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 เดือน 20 วัน และในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 821/2560 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี 9 เดือน แม้คดีทั้งสองจะยังไม่ถึงที่สุดเพราะอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ฎีกา แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังต้องถูกบังคับตามผลของคำพิพากษาในคดีทั้งสองอยู่ ศาลฎีกาชอบที่จะนำโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในคดีทั้งสองมานับต่อจากโทษจำคุกคดีนี้ได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 821/2560 ของศาลชั้นต้น จึงไม่มีโทษจำคุกในคดีดังกล่าวที่จะนำมานับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อจากคดีอื่น ต้องมีคำพิพากษาลงโทษในคดีแรกก่อน หากไม่มี ศาลชอบที่จะแก้ไขหมายจำคุกที่ไม่ถูกต้อง
การนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว คดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้ แต่คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 ภายหลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาคดีนี้ กรณีจึงไม่อาจนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเสียใหม่เป็นไม่นับโทษต่อจึงชอบแล้ว และไม่ถือว่าเป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของการบังคับคดีที่ศาลจะต้องออกหมายบังคับคดีถึงที่สุดให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2561

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกต่อกัน จำเป็นต้องระบุในคำฟ้องหรือขอแก้ไขฟ้อง มิฉะนั้นเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ในอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้น ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาอีกคดีของศาลชั้นต้น
แม้ต่อมาโจทก์จะยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีดังกล่าว ก็ไม่อาจถือว่าโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 กรณีจึงไม่อาจนับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2561

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐาน – การนับโทษ – ข้อจำกัดตาม ป.วิ.อ. – การพิจารณาคดีอาญา
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2 บัญญัติห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่นๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลย เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดีที่ถูกฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 ให้การและให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนแตกต่างกันทั้งๆที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ศึกษาวิชากฎหมายระดับนิติศาสตรบัณฑิตจึงนับว่าเป็นข้อพิรุธ พยานหลักฐานดังกล่าวหาใช่พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่นๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลยที่ 1 อันจะต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2 ตามที่จำเลยที่ 1 อ้างแต่อย่างใด จึงไม่เป็นกรณีที่ต้องบังคับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 232 บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน หมายถึง จำเลยในคดีเดียวกันและกฎหมายมิได้ห้ามโจทก์อ้างผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกับจำเลยมาเป็นพยานด้วย เมื่อคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยนั้นเป็นคำเบิกความในคดีอื่น ไม่ใช่คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ จึงไม่ใช่กรณีที่โจทก์อ้างจำเลยทั้งสองเป็นพยาน อันจะต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 232
เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4863/2557 ของศาลแขวงพระนครใต้ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2380/2555 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษารอการลงโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีก่อนที่จะนับโทษต่อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7915/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวต่างกรรม: การพิจารณาความผิดฐานครอบครองไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลกระทบต่อการนับโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดคดีนี้ตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อคดีนี้ไม่จำต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยมีไม้กันเกราแปรรูป 397 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 8.95 ลูกบาศก์เมตร และมีไม้นนทรีแปรรูป 568 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 19.79 ลูกบาศก์เมตร รวม 965 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตรรวม 28.74 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยเพียงอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยไม่ได้โต้แย้งว่าไม้ของกลางคดีนี้กับไม้ของกลางในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 76/2559, 78/2559 และ 79/2559 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อเป็นไม้ที่จำเลยมีเจตนาครอบครองในคราวเดียวกันอันจะทำให้เป็นความผิดกรรมเดียว ซึ่งเมื่อไม้ของกลางในคดีนี้เป็นไม้กันเกราแปรรูปและไม้นนทรีแปรรูป รวม 965 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตรรวม 28.74 ลูกบาศก์เมตร ส่วนไม้ของกลางในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 76/2559 ของศาลชั้นต้นเป็นไม้กันเกราแปรรูป ไม้นนทรีแปรรูป ไม้ประดู่แปรรูป และไม้มะค่าโมงแปรรูป รวม 1,706 แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตรรวม 59.44 ลูกบาศก์เมตร ไม้ของกลางทั้ง 2 คดี เป็นไม้คนละจำนวนกัน จำเลยมีเจตนาครอบครองไม้ในแต่ละจำนวนคนละคราวต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรม เมื่อศาลมีคำพิพากษาในความผิดกรรมหนึ่ง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับกรรมอื่นหาได้ระงับลงไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ไม้ของกลางในคดีนี้และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 76/2559, 78/2559 และ 79/2559 ของศาลชั้นต้นเป็นไม้แปรรูปที่จำเลยมีเจตนาครอบครองในคราวเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยในทั้ง 4 คดี จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว เมื่อคดีอาญาหมายเลขดำที่ 76/2559 ของศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) และพิพากษายกฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
of 22