คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พฤติการณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการฉ้อโกง: การพิจารณาจากคำบรรยายฟ้องและพฤติการณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุคำว่า "โดยทุจริต" ไว้ก็ตาม แต่คำว่า "บังอาจ" กับข้อความที่ว่า "โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป" ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่าจำเลยกระทำโดยทุจริต ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาเจตนาขาดนัดยื่นคำให้การ ต้องพิจารณาพฤติการณ์ก่อนศาลมีคำสั่ง
การวินิจฉัยว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงเหตุที่จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดว่า จำเลยทราบหรือไม่ว่าตนถูกฟ้อง จำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การเมื่อใดและพฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยประกอบกัน ซึ่งต้องเป็นพฤติการณ์ก่อนที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ แม้ผู้รับมรดกมีฐานะดี ผู้ตายยังมีหน้าที่อุปการะตามควรแก่พฤติการณ์
โจทก์ที่ 1 มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายไม่เดือดร้อน ก็ยังมีสิทธิได้รับอุปการะจากภริยาและบุตรโจทก์ที่ 1 ตามควรแก่พฤติการณ์จึงมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยอันเนื่องมาจากการละเมิดที่ทำให้ภริยาและบุตรโจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตายตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีปล้นทรัพย์โดยเด็กวัยรุ่น ศาลฎีกาแก้ไขโทษ ลดมาตราส่วนโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์
จำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์ แม้ในท้องที่ของศาลชั้นต้นจะมีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตามแต่เมื่อความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 เป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 8(1) ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ จำเลยที่ 5 ยืนยังไม่ให้คนอื่นเห็นการชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5 เป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดในขณะแต่ละคนอายุไม่เกิน 20 ปีโดยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายมิได้ใช้อาวุธหรือพูดว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพียงแต่ใช้กิริยาท่าทีในการขู่บังคับ พฤติการณ์แห่งความผิดไม่ร้ายแรงนัก เป็นการกระทำของเด็กวัยคะนอง สมควรลงโทษสถานเบาและลดมาตราส่วนโทษให้ด้วย ปัญหาการกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งห้า สำหรับความผิดในลักษณะนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1227-1230/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ความร้ายแรงของการฝ่าฝืนระเบียบ และการพิจารณาพฤติการณ์แห่งเหตุ
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานกลางฟังว่า เครื่องจักรที่โจทก์ทั้งสี่ควบคุมโดยสภาพไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลภายนอกหรือทรัพย์สินอื่นใดได้ เป็นการวินิจฉัยไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน เมื่อศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยพิเคราะห์ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 แม้ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างจะระบุว่าการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบดังกล่าวเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ก็หามีผลว่าการกระทำเช่นนั้นจะเป็นความผิดร้ายแรงทุกกรณีไปไม่ จะต้องพิจารณาพฤติการณ์ความเป็นจริงว่าเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ แม้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยจะระบุว่าการหลับขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นความผิดร้ายแรง ก็เป็นเพียงข้อบังคับของนายจ้างที่มีความประสงค์ทั่วไปว่าลูกจ้างต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง อุทิศเวลาให้แก่การทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่หลับขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น การที่โจทก์ทั้งสี่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวจึงเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ เมื่อโจทก์ทั้งสี่ทำหน้าที่เพียงควบคุมเครื่องจักรผลิตสินค้าซึ่งโดยสภาพไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลภายนอกหรือทรัพย์สินอื่นใดได้แม้มิได้ควบคุมใกล้ชิดตลอดเวลา การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวจึงไม่เป็นกรณีที่ร้ายแรง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเลื่อนคดีเพื่อประวิงเวลา และการไม่อนุญาตเลื่อนคดีเมื่อพฤติการณ์บ่งชี้ถึงเจตนาประวิงคดี
ในวันนัดสืบพยานโจทก์สี่นัดแรก ศาลอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพื่อเจรจากับโจทก์ ครั้นวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งสุดท้าย จำเลยขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่า ทนายติดว่าความที่ศาลอื่น ทั้ง ๆ ที่ทนายจำเลยเป็นคนกำหนดวันนัดไว้เองซึ่งหากตรงกับวันนัดในคดีนี้ก็ไม่ควรนัดให้ซ้อนกัน ประกอบกับในวันนัดสืบพยานจำเลยอีก 2 นัดจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีก และในวันนัดสืบพยานจำเลยในนัดต่อมาจำเลยและทนายก็ไม่มาศาลอีก จึงยิ่งทำให้เห็นว่าจำเลยขอเลื่อนคดีในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายก็เพื่อประวิงคดีเท่านั้น ศาลจึงชอบที่จะไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาของตัวการร่วมและการลดโทษจากพฤติการณ์
จำเลยที่ 2 เพียงแต่เข้าร่วมทำร้ายผู้เสียหายชกต่อยโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน แม้พวกจำเลยทั้งสองคนหนึ่งใช้มีดแทงทำร้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บ ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในฐานะตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ก็ตาม แต่การลงโทษก็สมควรให้ลดหลั่นตามพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำความผิดเป็นรายตัวบุคคลเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยรับโทษจำคุกมาก่อนศาลชอบที่จะรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6318/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ (ดิน) และพฤติการณ์แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ทำให้ไม่สมควรให้รอการลงโทษ
ที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่ในวงล้อมของที่ดินจำเลย จำเลยได้ขุดตักดินในที่ดินของจำเลยรอบ ๆ ที่ดินโจทก์ แล้วพยายามซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ในราคาต่ำแต่โจทก์ไม่ยอมขายจำเลยจึงลักขุดตักดินของโจทก์ไป แม้จำเลยจะประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินหลายโครงการ แต่ก็ส่อให้เห็นได้ว่าเป็นการประกอบธุรกิจที่มุ่งเอาแต่ได้ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ตามพฤติการณ์ดังกล่าว จึงยังไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5795/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนายิงเพื่อฆ่าหรือไม่? คดีพกพาอาวุธยิงขู่เข็ญ ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บ ศาลพิจารณาพฤติการณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษปรับคนละ 100 บาทดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยกับพวกถืออาวุธปืนไปขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้รื้อบ้านแล้วใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงไปยังบันไดซีเมนต์ที่ผู้เสียหายหลบอยู่นับสิบนัด แต่เมื่อผู้เสียหายวิ่งไปหลบอยู่ใต้ถุนบ้านของ ม.ซึ่งเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งใต้ถุนสูง จำเลยกับพวกจะยิงผู้เสียหายอีกก็ได้แต่ไม่ยิง กลับถืออาวุธปืนเฝ้าผู้เสียหายมิให้รื้อบ้านอยู่ครึ่งชั่วโมงแล้วจากไป ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกแสดงว่ามิได้มีเจตนายิงผู้เสียหาย แต่เป็นการยิงเพื่อขู่ขวัญและแสดงอิทธิพลให้ผู้เสียหายและชาวบ้านเห็นเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5568/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำเพื่อป้องกันตนเอง ไม่เป็นความผิดฐานชุลมุนต่อสู้ การพิเคราะห์เจตนาจากพฤติการณ์
การที่จำเลยที่ 1 เอามีดจี้คอจำเลยที่ 2 นั้น ผู้ที่ประสบเหตุการณ์อยู่ในฐานะอย่างจำเลยที่ 2 คงไม่มีจิตใจที่จะพิเคราะห์ว่า จำเลยที่ 1 จะแทงจริงหรือไม่ย่อมต้องดิ้นรนให้พ้นเหตุการณ์นั้น การที่จำเลยที่ 2 ชกจำเลยที่ 1 ไปทีเดียวในภาวะเช่นนี้นับเป็นการกระทำเพื่อป้องกันให้ตนพ้นอันตรายเท่านั้น หาได้มีเจตนาทำร้ายหรือสมัครใจวิวาทกับจำเลยที่ 1 ไม่ แม้ในเหตุการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ฆ่า ร. ตายด้วย จำเลยที่ 2 ก็หามีความผิดฐานชุลมุนต่อสู้กันและมีคนถึงแก่ความตายไม่.
of 79