พบผลลัพธ์ทั้งหมด 308 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968-1969/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนและอายุความมรดก: การฟ้องขับไล่ที่ดินที่ยังไม่ได้แบ่งแยกและการสืบสิทธิมรดก
โจทก์ที่1และโจทก์ที่2เป็นเจ้าของที่ดินแปลงเดียวกันโดยยังมิได้แบ่งแยกเป็นหลายโฉนดเพราะอยู่ในระหว่างการรังวัดแบ่งแยกของเจ้าพนักงานที่ดินเท่านั้นโจทก์ที่1จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ที่1ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้แบ่งแยกออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ที่2ให้แก่โจทก์ที่2ปรากฏว่าที่พิพาทและบ้านของจำเลยส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ที่2โจทก์ที่2จึงฟ้องจำเลยหลังจากได้รับโฉนดที่ดินมาแล้วและปรากฏว่าที่พิพาทบางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่1บางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่2โจทก์ทั้งสองต่างมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ฟ้องของโจทก์ที่2จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173. โจทก์ที่2ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์ที่2ตามพินัยกรรมและเรียกค่าเสียหายที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ที่2โดยละเมิดกรณีมิใช่ฟ้องเรียกที่พิพาทตามข้อกำหนดในพินัยกรรมทั้งจำเลยก็มิใช่บุคคลที่จะยกอายุความ1ปีขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1755แม้โจทก์ที่2จะฟ้องคดีเกิน1ปีหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมคดีของโจทก์ที่2ก็ไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4500/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าจ้างวันหยุดเป็นสิทธิเรียกร้องแยกต่างหากจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แม้มีการฟ้องร้องคดีก่อนแล้ว
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม และมีคำขอเรียกเงินจากโจทก์หลายรายการที่เกี่ยวเนื่อง หรือเป็นผลที่เกิดจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยมิได้มีคำขอเรียกค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีด้วย คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย เป็นคดีนี้เรียกค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีได้ เพราะค่าจ้างทั้งสองประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างค้างจ่าย ที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย แม้โจทก์จำเลยจะยังมีสภาพจ้างกันอยู่ ก็ตามจึงเป็นสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ต่างรายกับมูลหนี้หรือสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้าง แม้โจทก์ได้เคยร้องขอเพิ่มเติมฟ้องในคดีก่อนและ ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งให้ยกคำร้อง แต่ในชั้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ในคดีก่อนนั้นโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไว้ด้วยคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นอันยุติในชั้นศาลแรงงานกลางแล้ว หาใช่อยู่ในระหว่างพิจารณา ของศาลฎีกาไม่ คำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงมิใช่เป็นฟ้องซ้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4500/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าจ้างวันหยุดต่างรายกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม และมีคำขอเรียกเงินจากโจทก์หลายรายการที่เกี่ยวเนื่อง หรือเป็นผลที่เกิดจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโดยมิได้มีคำขอเรียก ค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีด้วย คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย เป็นคดีนี้เรียกค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตาม ประเพณีได้ เพราะค่าจ้างทั้งสองประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างค้างจ่าย ที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย แม้โจทก์จำเลยจะยังมีสภาพจ้างกันอยู่ ก็ตามจึงเป็นสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ต่างรายกับมูลหนี้หรือสิทธิเรียกร้อง เกี่ยวกับการเลิกจ้าง แม้โจทก์ได้เคยร้องขอเพิ่มเติมฟ้องในคดีก่อนและ ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องแต่ในชั้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ในคดีก่อนนั้นโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไว้ด้วยคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นอันยุติในชั้นศาลแรงงานกลางแล้วหาใช่อยู่ในระหว่างพิจารณา ของศาลฎีกาไม่คำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงมิใช่เป็นฟ้องซ้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเรียกค่าเสียหายจากค่าเช่า/ขายทรัพย์
คดีเดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 14 โฉนด พร้อมกับห้องแถว 14 ห้องและให้โอนที่ดินพร้อมกับห้องแถวดังกล่าวเป็นของโจทก์ โดยจำเลยได้ปลอมใบมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ 1 ยกที่ดินและห้องแถวให้จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยได้นำใบมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปทำการโอนที่ดินและห้องแถวเป็นของจำเลย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาแล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้กล่าวอ้างว่าห้องแถว 6 ห้องในจำนวน14 ห้องที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวจำเลยได้นำออกให้คนอื่นเช่าเก็บค่าเช่าเป็นผลประโยชน์ของจำเลย ขอให้จำเลยนำค่าเช่าไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐและถ้าหากมีการเช่าห้องแถวจำนวน 6 ห้องในอนาคตก็ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าในอนาคตให้โจทก์ ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดโดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าในอนาคตไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐและถ้าหากมีการขายห้องแถว 6 ห้องดังกล่าวก็ให้จำเลยคืนเงินที่ขายได้ให้โจทก์ โดยระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดให้นำไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐนั้น เห็นว่าเงินค่าเช่าและค่าขายทรัพย์พิพาทได้ในอนาคตที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำมาวางศาลในคดีนี้ก็คือค่าเสียหายและราคาทรัพย์อันเป็นผลเนื่องมาจากการที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทในคดีเดิมนั่นเอง ซึ่งค่าเสียหายและค่าขายทรัพย์ดังกล่าวตามที่ฟ้องในคดีนี้ย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทเป็นของตน สิทธิการฟ้องคดีนี้เกิดจากมูลกรณีเดียวกันกับข้ออ้างของโจทก์ในคดีเดิม จึงเป็นเรื่องเดียวกันโจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008-3009/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, การรับช่วงสิทธิ, ฟ้องซ้อน, และค่าขึ้นศาล
รถของโจทก์ถูกรถของจำเลยชนโดยประมาทพังขวางอยู่กลางถนนแล้วถูกรถของบุคคลอื่นชนซ้ำโดยไม่ใช่ความประมาทของบุคคลนั้น แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นก็เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทของฝ่ายจำเลยเป็นผู้ก่อขึ้นก่อน ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดในผลอันนี้ด้วย สำนวนแรกโจทก์มิได้ฟ้องผู้รับประกันภัยเป็นจำเลย คงฟ้องแต่ผู้อื่น เมื่อผู้รับประกันภัยเข้ามาเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองโดยอ้างว่าเป็นผู้รับช่วงสิทธิในฐานะผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยอื่นและโจทก์ในสำนวนแรกให้ร่วมรับผิดอันเนื่องจากเหตุรถชนรายเดียวกัน โจทก์ในสำนวนแรกจึงมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน โจทก์ที่ 2 เป็นจำเลยตามฟ้องแย้งในสำนวนที่สองของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยเป็นจำเลยตามฟ้องสำนวนแรกของโจทก์ที่1 แม้จะเป็นค่าเสียหายรายเดียวกันแต่เป็นคนละคดีต้องเสียค่าขึ้นศาลต่างหากจากกัน เมื่อโจทก์ที่ 2 และจำเลยแพ้คดีและฎีกาต่อมาจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายคดีการที่ฎีการ่วมกันมาไม่ทำให้หน้าที่ที่จะต้องเสีย ค่าขึ้นศาลลดน้อยลง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดเป็นการเกินคำขอ เพราะโจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2522 ศาลฎีกาควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2977/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเดิมฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายแล้ว การฟ้องคดีใหม่เรียกค่าเสียหายซ้ำเป็นฟ้องซ้อน
เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 อ้างว่า ป. ขายที่พิพาทให้แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขาย ป.ถึงแก่ความตายเสียก่อน ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองโอนที่พิพาทให้ โจทก์ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ป.ไม่เคยขายที่พิพาทให้จำเลย จำเลยบุกรุกเข้ามาและทำลายต้นไม้ในที่พิพาทเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองเป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยตัดทำลายต้นไม้ในที่พิพาทโดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่พิพาทเพราะจำเลยบุกรุกเข้ามาก็ตาม แต่ก็ได้ความจากฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้ามาครอบครองที่พิพาทนั้นโจทก์ทั้งสองย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะได้เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทมาในฟ้องแย้งเสียพร้อมกันในครั้งนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจากจำเลยในคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2977/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีใหม่ที่มีประเด็นซ้ำกับฟ้องแย้งในคดีเดิม ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้
เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 อ้างว่า ป.ขายที่พิพาทให้แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขาย ป.ถึงแก่ความตายเสียก่อนขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองโอนที่พิพาทให้ โจทก์ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าป.ไม่เคยขายที่พิพาทให้จำเลย จำเลยบุกรุกเข้ามาและทำลายต้นไม้ในที่พิพาทเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองเป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยตัดทำลายต้นไม้ในที่พิพาทโดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่พิพาทเพราะจำเลยบุกรุกเข้ามาก็ตาม แต่ก็ได้ความจากฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้ามาครอบครองที่พิพาทนั้นโจทก์ทั้งสองย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะได้เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทมาในฟ้องแย้งเสียพร้อมกันในครั้งนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจากจำเลยในคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน-สิทธิครอบครอง-ประทานบัตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยการฟ้องซ้ำ/ซ้อน และสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาท
คดีนี้โจทก์บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 อย่างเดียวกับที่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองไว้ในคดีก่อน จึงเป็นคำฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1) ส่วนจำเลยที่ 1และที่ 2 โจทก์มิได้ฟ้องในคดีก่อนด้วยไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คำฟ้องเดิมกับคำฟ้องใหม่ที่มีสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเดียวกัน
ผู้จัดการมรดกในฐานะตัวแทนของทายาทรวมทั้งโจทก์ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจากที่พิพาท คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ในคดีนี้มาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจากที่พิพาทเดียวกันอีก ฟ้องทั้งสองจึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน เพราะสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเป็นอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3129/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน: สิทธิเจ้าของร่วมสินสมรสถูกโต้แย้งในคดีขับไล่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝากแต่โจทก์ไม่ให้ไถ่ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา และที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จะได้ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) คำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้ โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลไว้ก่อน คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1)