พบผลลัพธ์ทั้งหมด 648 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน, การมอบอำนาจ, ค่าอ้างเอกสาร, และการพิสูจน์เจตนา: หลักเกณฑ์การบังคับใช้สัญญา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีไปเพื่อสืบพยานจำเลยที่จำเลยเคยแถลงไว้ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดก่อนว่า ถ้าพยานไม่มาศาลในนัดหน้าก็ไม่ติดใจสืบนั้นเป็นกรณีที่ศาลสั่งไปตามเงื่อนไขในคำแถลงของจำเลย จึงเป็นคำสั่งที่ขอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะต้องไปไต่สวนอีกว่าพยานจำเลยไม่มาศาลเพราะเหตุใด โจทก์ส่งสำเนาใบมอบอำนาจเป็นเอกสารท้ายฟ้องผิดไป ก่อนสืบพยานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องขอส่งฉบับใหม่ที่ถูกต้อง ศาลอนุญาตและโจทก์นำสืบว่าโจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีตามใบมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีตามใบมอบอำนาจฉบับใหม่มาตั้งแต่ต้น จำเลยจะอ้างเอาใบมอบอำนาจที่โจทก์ส่งผิดมาโดยที่โจทก์ได้แก้ไขแล้วมาเป็นเหตุให้ฟังว่าผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบ หนังสือของโจทก์ที่มีไปถึงผู้จัดการสาขาของโจทก์ แจ้งให้ทราบว่าหัวหน้ากลุ่มเกษตรกรจะต้องทำสัญญาค้ำประกันเป็นการส่วนตัวสัญญาค้ำประกันก็ระบุว่าค้ำประกันเป็นการส่วนตัวไม่มีข้อความใดให้เห็นว่าเป็นการค้ำประกันในนามกลุ่มเกษตรกร ภูมิลำเนาของผู้ค้ำประกันที่ระบุในสัญญาก็เป็นภูมิลำเนาของจำเลย มิได้ระบุว่าอยู่ที่ที่ทำการของกลุ่มเกษตรกร และในช่องลายมือชื่อของจำเลยก็มิได้มีข้อความให้เห็นว่าลงชื่อไปในฐานะที่เป็นประธานกลุ่มเกษตรกร จำเลยจะถือเอาผลของสัญญาตามความคิดที่มีอยู่ในใจไม่ได้ ต้องผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมาในขณะทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ จึงต้องฟังว่าจำเลยค้ำประกันเป็นการส่วนตัว ค่าอ้างเอกสารเป็นค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เมื่อโจทก์มิได้จงใจจะไม่ชำระค่าธรรมเนียมก็ไม่มีบทกฎหมายให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์อ้างเอกสารเป็นพยาน ดังนั้น เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลจึงรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจกรรมการในคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ชอบด้วยกฎหมายตามประกาศ คปฎ.ฉบับที่ 218
แม้ พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จะบัญญัติให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดประกอบด้วยข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ เป็นกรรมการ โดยมิได้ระบุคำว่าหรือ "ผู้แทน" ไว้ก็ตาม แต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 เรื่องระเบียบบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวจึงมอบหมายให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งอื่นประชุมแทนได้และถือว่าการประชุมคณะกรรมการชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจกรรมการและการประชุมที่ชอบด้วยกฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ และประกาศคณะปฏิวัติ
การที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 7(2) ระบุ บุคคลที่เป็นคณะกรรมการโดยมิได้มีข้อความให้อำนาจบุคคลอื่นทำการแทน ดังนั้นกรรมการคนใดคนหนึ่งจะมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นมาประชุมแทนในฐานะกรรมการตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ดังกล่าวย่อมเป็นไปตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับ 218 ข้อ 44 วรรคสอง(ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น) ซึ่งบัญญัติให้ผู้ดำรงตำแหน่งใดหรือผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งนั้นสามารถมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้โดยให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งมอบหมายหรือมอบอำนาจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจตัวแทนลงนาม นิติกรรมผูกพันบริษัท – อำนาจตามมติที่ประชุมกรรมการ
ตามหนังสือแจ้งมติที่ประชุมกรรมการบริษัท พ. ที่ระบุว่าที่ประชุมกรรมการบริษัท พ.มีมติให้พ.และด. คนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทคนใดคนหนึ่งพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัททำการในนามบริษัทได้นั้น มีลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัททำการแทนบริษัทถูกต้องตามข้อบังคับ ถือได้ว่า บริษัท พ.ตั้งให้พ.และด.เป็นตัวแทนของบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797นิติกรรมการขายลดเช็คที่ตัวแทนดังกล่าวได้กระทำไปตามมติที่ประชุมกรรมการบริษัทจึงผูกพันบริษัท พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจและตัวแทน: สัญญาซื้อขายฝ้ายดิบที่ไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจและข้อตกลงอนุญาโตตุลาการที่ไม่ผูกพันจำเลย
บริษัทจำเลยมิได้มอบอำนาจให้ ส. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัทจำเลย ทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์แทนบริษัทจำเลย ทั้งไม่มี พยานหลักฐานและพฤติการณ์ที่แสดงว่าบริษัทจำเลยเชิด ส. เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลย หรือรู้แล้วยอมให้ ส. เชิดตนเองแสดงออกเป็น ตัวแทนของบริษัทจำเลย ดังนี้บริษัทจำเลยไม่ต้องรับผิดตาม สัญญาซื้อขายนั้นและข้อตกลงอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย ที่ว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นจะต้องเสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการก็ ไม่ผูกพันจำเลยเช่นกัน ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคำชี้ขาดของ อนุญาโตตุลาการมาฟ้องบังคับจำเลย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 221 แม้จะบรรยายฟ้องถึงการผิดสัญญาซื้อขาย มาด้วยแต่มิได้ขอบังคับตามสัญญาซื้อขาย โจทก์คงต้องเสียค่าขึ้นศาล ตามตาราง 1 ข้อ (1)(ข) ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งกำหนดให้เรียกโดย อัตราหนึ่งบาทต่อทุกหนึ่งร้อยบาท ตามจำนวนที่อนุญาโตตุลาการกำหนด ไว้ในคำชี้ขาด แต่ไม่ให้เกินแปดหมื่นบาท ศาลชั้นต้นเรียก ค่าขึ้นศาลเกินมาจึงต้องคืนให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีและอายุความดอกเบี้ย กรณีบัญชีเดินสะพัด และการมอบอำนาจฟ้องคดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้ และในฟ้องระบุถึงจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่จนถึงวันฟ้องทั้งแสดงหลักฐานหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับสัญญาค้ำประกันมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว บัญชีกระแสรายวันที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องเป็นรายละเอียดในชั้นนำสืบไม่จำต้องแนบมาท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้มอบอำนาจให้ ป. ฟ้องคดีแทน และโดยที่เป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนได้ทั่วไป แม้มิได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงในหนังสือมอบอำนาจ ป. ก็มีอำนาจฟ้อง หลังจากวันที่ 31 มีนาคม 2521 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดอายุสัญญาที่ต่อออกไปเป็นครั้งสุดท้าย จำเลยยังคงถอนเงินออกและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้กับโจทก์อีกหลายครั้ง จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน2525 ถือได้ว่า คู่กรณีตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันต่อไปโดยไม่มีกำหนดอายุสัญญา เมื่อไม่มีการหักทอนบัญชีและบอกกล่าวเลิกสัญญา สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยังไม่สิ้นสุดลง เมื่อต่อมาโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มีนาคม 2526 ย่อมถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาและมีผลให้สัญญาเลิกกันในวันที่ 15มีนาคม 2526 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันเลิกสัญญาคือวันที่ 15 มีนาคม 2526 จำเลยที่ 3 ให้การเพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้วางบัญชีเงินฝากของตนค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และมีข้อตกลงว่า หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ได้ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ถอนเงินฝากดังกล่าวมาชำระจนหมดแล้วเท่านั้น จำเลยที่ 3 มิได้ให้การถึงการที่โจทก์ใช้สิทธิในการถอนเงินล่าช้าอันเป็นการใช้สิทธิไม่ชอบ และทำให้จำเลยที่ 3 เสียหายตามที่ฎีกาโต้เถียงมา จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุม: การมอบอำนาจและกรรมสิทธิ์รถยนต์
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า รถยนต์แท็กซี่ของโจทก์ที่ถูกชนส่วนไหนของรถที่ได้รับความเสียหาย เสียค่าซ่อมแซมเป็นเงินเท่าใดโจทก์ไม่ต้องกล่าวมาในคำฟ้องว่าชิ้นส่วนของรถที่ได้รับความเสียหายนั้น รายการใดเป็นการเปลี่ยนอุปกรณ์ รายการใดเป็นการซ่อมของเดิม ในแต่ละรายการเป็นเงินเท่าใด รายละเอียดดังกล่าวเป็นเรื่องที่คู่ความนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ที่ 1 ฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 และแนบหนังสือมอบอำนาจมาในท้ายฟ้อง โดยหนังสือมอบอำนาจระบุชัดแจ้งว่าโจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ แม้หนังสือมอบอำนาจมีโจทก์ที่ 2 ลงชื่อฝ่ายเดียว โจทก์ที่ 1 มิได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจด้วยก็ใช้ได้ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงชื่อด้วย รถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ซื้อมาก่อนเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แม้โจทก์ที่ 1 จะโอนใส่ชื่อโจทก์ที่ 2 ในทะเบียนเป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวเพื่อความจำเป็นในทางธุรกิจกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ก็ยังเป็นของโจทก์ที่ 1 อยู่เพราะทะเบียนรถยนต์มิใช่ทะเบียนกรรมสิทธิ์ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3895/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ การรับรองเอกสาร และการมอบอำนาจทางกฎหมาย
โจทก์กล่าวในฟ้องแล้วว่า กฎหมายของประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้บังคับครอบคลุมไปถึงเมืองฮ่องกงที่เป็นอาณานิคม ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ทำ ณ กรุงเบอร์น ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ย่อมมีความหมายว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยแล้ว เอกสารสำคัญที่คู่ความจะต้องปฏิบัติ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา47 วรรคสาม นั้นต้องเป็นเอกสารที่ศาลมีเหตุอันควรสงสัย หรือคู่ความอีกฝ่ายยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นเอกสารแท้จริงหรือไม่จึงให้ศาลมีอำนาจสั่งให้คู่ความยื่นเอกสาร ตามวิธีการในวรรคสามนี้ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ร่วมได้มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ศาลจึงไม่มีเหตุอันควรสงสัย และเมื่อจำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่า เอกสารนั้นมิใช่หนังสือมอบอำนาจแท้จริงจึงไม่มีเหตุต้องวินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจได้ทำถูกต้องตามป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม หรือไม่ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติให้สิทธิในเงินค่าปรับที่จำเลยได้ชำระตามคำพิพากษาจำนวนกึ่งหนึ่งแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ เพื่อบรรเทาความเสียหายและเป็นการชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่ง ถือได้ว่าเป็นบทบัญญัติพิเศษซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องในคดีอาญา และไม่มีกฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องระบุขอเงินค่าปรับมาในคำขอท้ายฟ้องคดีอาญา แม้โจทก์มิได้ขอไว้ในคำขอท้ายฟ้องผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษากึ่งหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3895/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีลิขสิทธิ์ข้ามประเทศ: การรับรองเอกสาร, การมอบอำนาจ, และสิทธิในการได้รับค่าปรับ
แม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทย แต่โจทก์ได้กล่าวในฟ้องแล้วว่ากฎหมายของประเทศอังกฤษซึ่งใช้บังคับไปถึงเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าว ฯลฯ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยย่อมมีความหมายว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยแล้ว ส่วนภาพยนตร์ตามฟ้องที่อ้างว่าเป็นงานสร้างสรรค์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายเมืองฮ่องกงกำหนดไว้นั้นเป็นกฎหมายอะไร บัญญัติขึ้นเมื่อไรและประกาศใช้เมื่อใดที่ไหนนั้น ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบในชั้นพิจารณา การไม่กล่าวไว้ในคำฟ้องถึงรายละเอียดดังกล่าวหาทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว เอกสารสำคัญที่คู่ความจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 วรรคสาม จะต้องเป็นเอกสารที่ศาลมีเหตุอันควรสงสัยหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นเอกสารอันแท้จริงหรือไม่จึงให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความนั้นยื่นเอกสารตามวิธีการในวรรคสาม เมื่อศาลไม่มีเหตุอันควรสงสัยและจำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัย ทั้งมิได้นำสืบปฏิเสธความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ร่วม ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ร่วมจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกง และโจทก์ร่วมได้แนบเอกสารแสดงความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ร่วมมาท้ายคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ จำเลยแถลงไม่คัดค้าน เท่ากับยอมรับว่าโจทก์ร่วมมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามคำฟ้องแล้ว หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ร่วมทำขึ้นที่เมืองฮ่องกงอันเป็นเมืองที่มีกงสุลไทยประจำอยู่ แม้กงสุลไทยมิได้รับรองความถูกต้องของเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47 แต่โจทก์มีกรรมการบริษัทผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ร่วมได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดี โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง ศาลก็ไม่มีเหตุอันควรสงสัยและจำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าเอกสารนั้นมิใช่หนังสือมอบอำนาจอันแท้จริง จึงไม่มีเหตุต้องวินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจนั้นได้ทำถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 วรรคสามหรือไม่ ฟังได้ว่า โจทก์ร่วมได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีแล้วพระราชบัญญัติ ญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในเงินค่าปรับที่จำเลยได้ชำระตามคำพิพากษาจำนวนกึ่งหนึ่งเพื่อบรรเทาความเสียหายและให้ถือเป็นการชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งส่วนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นบทบัญญัติพิเศษซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องในคดีอาญา และไม่มีกฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องระบุขอเงินค่าปรับดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้องคดีอาญาแต่อย่างใดโจทก์ร่วมผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษากึ่งหนึ่งแม้โจทก์จะมิได้ขอไว้ในคำขอท้ายฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจแต่งตั้งทนายความของตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60
โจทก์มอบอำนาจให้ ด.เป็นตัวแทนมีอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีอาญา คดีแพ่งและหรือคดีล้มละลาย ด. จึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีแพ่งแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 วรรคสอง.