พบผลลัพธ์ทั้งหมด 559 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีเช็คและการยอมความที่ไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในคดีความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน1 ปี โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยแม้เป็นกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดก็ต้องรับฟังเป็นยุติดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ปรากฏจากคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกับผู้เสียหายได้ตกลงกันว่า เมื่อจำเลยผ่อนชำระหนี้จนครบถ้วนตามที่ตกลงกันแล้วผู้เสียหายจึงจะถอนคำร้องทุกข์ จำเลยจึงขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวมิใช่ข้อตกลงยอมความกันในทางอาญาจึงไม่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า มีข้อตกลงระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยอันจะถือได้ว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมาย การที่จำเลยฎีกาว่ามีการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมายระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยแล้ว จึงเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีเช็ค: ไม่จำต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากข้อเท็จจริงตามฟ้องเป็นยุติ
ในคดีความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน1 ปี โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยแม้เป็นกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดก็ต้องรับฟังเป็นยุติดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน: การตีความคำรับสารภาพตามฟ้องและขอบเขตความผิด
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงเวลากลางวันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้เข้าไปลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในเคหสถานไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ถูกลักไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางวันจริงตามฟ้องเช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเคหสถานตามที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ด้วยศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน ศาลพิจารณาจากคำรับสารภาพแม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงเวลากลางวันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้เข้าไปลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในเคหสถานไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ถูกลักไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางวันจริงตามฟ้องเช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเคหสถานตามที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ด้วยศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) วรรคแรกได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ไม่เคยยกขึ้นสู่ศาล และการลงโทษตามกฎหมายศุลกากรที่บทบัญญัติจำกัดดุลพินิจศาล
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่า พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินฯซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วย พ.ร.บ. ศุลกากรฯ มาตรา 27โดยกฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า... สำหรับ ความผิด ครั้งหนึ่ง ๆ ให้ ปรับ เป็นเงิน สี่เท่า ราคาของ ซึ่ง ได้ รวม ค่าอากร ด้วย แล้ว หรือ จำคุกไม่เกิน สิบ ปี หรือ ทั้ง ปรับ ทั้ง จำ ดังนี้ เมื่อ ศาลชั้นต้นปรับ จำเลย เป็น เงิน สี่เท่า ของ จำนวน เงินตรา ที่ นำออกไปนอกราชอาณาจักร ตาม กฎหมาย ซึ่ง บทกฎหมาย ดังกล่าวมิได้ ให้ ดุลพินิจศาล ที่ จะ ใช้ อำนาจ ปรับ ให้ น้อย กว่า นั้นหรือ เป็น อย่างอื่น ได้ แล้ว ศาลฎีกา ย่อม ไม่อาจ ปรับ ให้น้อย ลง หรือ ลงโทษ สถานเบา กว่า ที่ ศาลชั้นต้น กำหนด.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่า พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินฯซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วย พ.ร.บ. ศุลกากรฯ มาตรา 27โดยกฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า... สำหรับ ความผิด ครั้งหนึ่ง ๆ ให้ ปรับ เป็นเงิน สี่เท่า ราคาของ ซึ่ง ได้ รวม ค่าอากร ด้วย แล้ว หรือ จำคุกไม่เกิน สิบ ปี หรือ ทั้ง ปรับ ทั้ง จำ ดังนี้ เมื่อ ศาลชั้นต้นปรับ จำเลย เป็น เงิน สี่เท่า ของ จำนวน เงินตรา ที่ นำออกไปนอกราชอาณาจักร ตาม กฎหมาย ซึ่ง บทกฎหมาย ดังกล่าวมิได้ ให้ ดุลพินิจศาล ที่ จะ ใช้ อำนาจ ปรับ ให้ น้อย กว่า นั้นหรือ เป็น อย่างอื่น ได้ แล้ว ศาลฎีกา ย่อม ไม่อาจ ปรับ ให้น้อย ลง หรือ ลงโทษ สถานเบา กว่า ที่ ศาลชั้นต้น กำหนด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพคดีอาญา และข้อจำกัดในการโต้แย้งข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา รวมถึงการบังคับใช้บทลงโทษตามกฎหมายศุลกากร
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยมีเจตนากระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 ซึ่งกฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า.. สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ บทกฎหมายดังกล่าวมิได้ให้ดุลพินิจศาลที่จะใช้อำนาจปรับให้น้อยกว่านั้นหรือเป็นอย่างอื่นได้ เมื่อศาลชั้นต้นปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของจำนวนเงินตราที่นำออกไปนอกราชอาณาจักรแล้ว ศาลฎีกาไม่อาจปรับให้น้อยลง หรือลงโทษสถานเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาด้วยวาจาไม่เคลือบคลุม หากรายละเอียดเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ และการรับสารภาพแล้ว โต้เถียงข้อเท็จจริงไม่ได้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวงนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เคร่งครัดเหมือนกับการฟ้องคดีด้วย ลายลักษณ์อักษรเพียงแต่มีรายละเอียดพอสมควร ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 ส่วนจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ย่อมมีความหมายว่าแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ได้ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะเป็นตัวการ ซึ่งโจทก์ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาด้วยแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยคนใดชกต่อยหรือทำร้ายจำเลยคนใดก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1, 2, 4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1, 2, 4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวง และการรับสารภาพที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเดิม
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวงนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เคร่งครัดเหมือนกับการฟ้องคดีด้วยลายลักษณ์อักษรเพียงแต่มีรายละเอียดพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9 อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9ส่วนจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ย่อมมีความหมายว่าแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ได้ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะเป็นตัวการซึ่งโจทก์ได้อ้าง ป.อ. มาตรา83 มาด้วยแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยคนใดชกต่อยหรือทำร้ายจำเลยคนใด ก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1,2,4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1,2,4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องทำร้ายร่างกายร่วมกัน: ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ และการรับสารภาพมีผลอย่างไร
การฟ้องคดีอาญาด้วย วาจาต่อ ศาลแขวงนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เคร่งครัดเหมือนกับการฟ้องคดีด้วย ลายลักษณ์อักษรเพียงแต่ มีรายละเอียดพอสมควร ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ ดี ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 อีกฝ่ายหนึ่ง สมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่ง กันและกัน โดย จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 ส่วนจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ย่อมมีความหมายว่าแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ได้ ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ในฐานะ เป็นตัวการ ซึ่ง โจทก์ได้ อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาด้วย แล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยคนใดชกต่อยหรือทำร้ายจำเลยคนใดก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่าง ทำร้ายซึ่ง กันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 124 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตาม คำฟ้องว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จ้างวานให้ผู้อื่นฆ่า แม้ยังไม่สำเร็จความผิดก็เกิดขึ้นได้ การรับสารภาพที่สมัครใจมีน้ำหนักเชื่อถือได้
ฉ. ติดต่อหามือปืนมายิงผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการฉ. มีพฤติการณ์เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด แต่เมื่อโจทก์ได้กัน ฉ.ไว้ที่พยานคำเบิกความของฉ. รับฟังได้ แต่มีน้ำหนักน้อย ต้องฟังพยานอื่นประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยได้
จำเลยที่ 1 จ้าง วาน ใช้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4),84 วรรคสอง.
จำเลยที่ 1 จ้าง วาน ใช้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4),84 วรรคสอง.