คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สืบพยาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 971 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดสืบพยานและการไม่โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยาน ในวันนัดสืบพยานโจทก์และพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์เห็นว่าชอบที่จะมีการสืบพยานต่อไปก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ มิฉะนั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การเรื่องอายุความ, ฟ้องไม่เคลือบคลุม, การส่งเอกสารสืบพยาน และดุลพินิจศาล
โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2518ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืน มีจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง จำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2532ซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันชี้สองสถาน จำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพิ่มข้อต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 10 ปีดังนี้ เห็นได้ว่าวันที่โจทก์ยื่นฟ้องและวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ปรากฏอยู่ในฟ้องแล้ว และจำเลยทั้งห้าทราบมาแต่แรกที่ได้รับสำเนาฟ้องแล้วว่าการกู้เงินตามที่กล่าวในฟ้องเป็นการกู้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระเงินคืน ซึ่งอายุความฟ้องร้องย่อมเริ่มนับทันทีที่โจทก์ให้กู้ไป จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งห้าอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อเพิ่มเติมข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความได้ก่อนวันชี้สองสถาน แม้จำเลย-ทั้งห้าจะยังไม่ได้รับสำเนาสัญญากู้เงินจากโจทก์ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความก็ปรากฏอยู่ในคำฟ้องก่อนวันชี้สองสถานแล้วจำเลยทั้งห้าหาจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องจากสำเนาสัญญากู้แต่อย่างใดไม่ทั้งเรื่องที่ขอแก้ไขคำให้การนี้ก็ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเพื่อให้มีข้อต่อสู้เกี่ยวกับอายุความภายหลังวันชี้สองสถาน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสียตาม ป.วิ.พ. มาตรา180 วรรคสอง (เดิม)
ตามฟ้องโจทก์ปรากฏอยู่แล้วว่า โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งห้าตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับ เป็นเงิน 544,600 บาท และสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว คงค้างอยู่ในวันคิดบัญชีคือวันที่ 4พฤศจิกายน 2531 เป็นต้นเงิน 164,600 บาท และดอกเบี้ย 150,564.09 บาทดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายแจ้งชัดแล้วว่า หนี้ต้นเงินจำนวน 164,600 บาทที่ค้างชำระคิดมาจากยอดหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับดังกล่าว และการกล่าวถึงดอกเบี้ยก็เข้าใจได้อยู่แล้วว่าหมายถึงดอกเบี้ยของต้นเงินที่ค้างชำระอยู่ดังกล่าวโดยนับถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 นั่นเอง ส่วนรายละเอียดในการคิดบัญชีนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ได้แสดงความจำนงอ้างสัญญากู้เป็นพยานโดยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคแรกแล้ว แต่ในการสืบพยาน โจทก์มิได้ส่งสำเนาสัญญากู้ดังกล่าวให้จำเลยทั้งห้าก่อนวันสืบพยานอย่างน้อย 3 วัน ดังที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 90 (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น แต่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของมาตราดังกล่าว ก็ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวได้
เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าแก้ไขคำให้การในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นเรื่องอายุความตามที่จำเลยทั้งห้าฎีกาขึ้นมา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การของจำเลยไม่ได้ขัดแย้งกัน แม้จะอ้างเหตุซื้อขายภายหลังปฏิเสธการให้โดยเสน่หา ศาลอนุญาตให้สืบพยานได้
โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ที่พิพาทแก่จำเลยเพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หาเพราะโจทก์ได้รับค่าตอบแทนจากจำเลย การที่จำเลยอ้างเหตุต่อมาว่าความจริงเป็นการซื้อขายซึ่งเป็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลย ก็เป็นเหตุแห่งการปฏิเสธของจำเลยว่าโจทก์ไม่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หานั่นเอง หาได้ทำให้เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันจนไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดิน, การขาดนัดพิจารณา, การสืบพยาน, และดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน
ในชั้นอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในรายละเอียดว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์จำเลย หรือจำเลยร่วม แต่เป็นที่สาธารณะประโยชน์ ที่วินิจฉัยดังกล่าวเพราะอาศัยพยานเอกสารในสำนวน ถือว่าศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยชี้ขาดตรงประเด็นแล้ว การที่จำเลยขาดนัดพิจารณาไม่มาศาลย่อมทำให้เสียประโยชน์คือ ไม่มีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ที่สืบไปแล้วในวันที่จำเลยไม่มาศาลเท่านั้น และหากว่าโจทก์สืบพยานหมดในวันนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบได้ในวันหลังอีก เพราะหมดเวลาที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบแล้ว แต่คดีนี้โจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียวการสืบพยานยังไม่เสร็จบริบูรณ์ แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไป จำเลยจึงไม่มีสิทธิถามค้านพยานปากที่เบิกความไปแล้วเท่านั้นส่วนในนัดต่อไปจำเลยมาศาล จำเลยชอบที่จะถามค้านพยานโจทก์ที่เบิกความในนัดต่อมาได้ และนำพยานจำเลยเข้าเบิกความได้ เพราะยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ แม้จำเลยร่วมไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานโจทก์ 3 วันแต่จำเลยร่วมว่าความด้วยตนเอง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจให้จำเลยร่วมนำพยานเข้าสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา แต่ยังต้องสืบพยานประเด็นอื่นเพิ่มเติม
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ ตามมาตรา 226 คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในคดีส่วนอาญาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยรับเงินจากล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้ แต่ฟ้องของโจทก์ยังระบุด้วยว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์และ ล. ได้มาโดยการหลอกลวงโจทก์และได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินดังกล่าวไว้ จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอยู่ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้เรื่องเอกสารสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม ผู้กู้มีสิทธิสืบพยานได้
จำเลยยอมรับว่าได้ลงชื่อไว้ในช่องผู้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่ทำไว้กับโจทก์ แต่ต่อสู้ว่าขณะที่ลงชื่อยังไม่ได้มีการกรอกข้อความใด ๆ ลงไป แล้วโจทก์ไปกรอกจำนวนเงินเพิ่มเติมภายหลังซึ่งสูงกว่าที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ ดังนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบตามข้อต่อสู้ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5413/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตเลื่อนคดีและการสืบพยาน: คำสั่งไม่อนุญาตเลื่อนไม่ใช่ขาดนัด
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีตามที่ทนายจำเลยขอและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ คำสั่งดังกล่าวมิใช่คำสั่งที่แสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 197 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้พิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5006/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในคดีคำขอพิจารณาใหม่
ปัญหาว่าโจทก์จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่เป็นประเด็นในคดีที่มีคำขอให้พิจารณาใหม่ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม ได้ให้อำนาจแก่ศาลที่จะเรียกพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมได้ หากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานนั้นมาสืบเพิ่มเติม การที่ศาลชั้นต้นเรียกสมุดนัดความของเจ้าหน้าที่ศาลและเรียกเจ้าหน้าที่ศาลมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น จึงเป็นการนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมโดยชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาเอกสารต้องให้ถึงมือคู่ความก่อนวันสืบพยานตามกฎหมาย เพื่อให้ตรวจสอบและซักค้านได้
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 บัญญัติไว้ความว่า คู่ความฝ่ายใดอ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐาน ให้ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้นกฎหมายประสงค์ให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อน จะได้ซักค้านพยานได้ถูกต้องไม่เสียเปรียบแก่กันคำว่า "ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ"จึงมีความหมายว่า ส่งสำเนาเอกสารให้ถึงคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหากจะถือเอาวันที่ส่งสำเนาเอกสารเป็นสำคัญแล้วก็ย่อมเปิดช่องให้มีการเอาเปรียบแก่กันได้ เป็นการไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์แห่งบทบัญญัติของกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งเอกสารประกอบการสืบพยานต้องส่งให้ถึงคู่ความอีกฝ่ายก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
การส่งสำเนาเอกสารให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่น้อยกว่าสามวัน ก่อนวันสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 นั้น หมายความว่าส่งให้ถึงคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่น้อยกว่าสามวันก่อนวันสืบพยาน เพราะเป็นความประสงค์ของกฎหมายเพื่อให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อนจะได้ซักค้านพยานได้ถูกต้อง ไม่เสียเปรียบแก่กัน
of 98