พบผลลัพธ์ทั้งหมด 567 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยมีผลผูกพัน แม้โจทก์มิได้เสียค่าอ้างเอกสาร เช็คคืนเป็นหลักฐาน
โจทก์ฟ้องคดีโดยแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทกับใบคืนเช็คมาท้ายฟ้อง จำเลยให้การและนำสืบยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารได้ปฏเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสาร เช็คและใบคืนเช็คพิพาทศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนและการรับรองเอกสาร: การสอบถามข้อเท็จจริงและการจดบันทึก
จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนที่ใด เวลาใดก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควรตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 130 การที่จำเลยสอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากโจทก์ที่โรงพยาบาลแล้วไปจดลงในคำให้การของโจทก์ที่สถานีตำรวจอันเป็นที่ทำการของจำเลยภายหลัง โดย ระบุว่าสอบสวนที่สถานีตำรวจเพียงเหตุเท่านี้หาเป็นการทำและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและทำลายเอกสาร เนื่องจากไม่มีเจตนาทุจริตและเอกสารไม่ใช่ของผู้เสียหาย
โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินมาตั้งแต่แรก การที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรองว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะเปลี่ยน น.ส.3 ให้โจทก์และจะค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุการณ์ในภายหน้าที่จำเลยที่ 1 รับจะดำเนินการดังกล่าวให้ หากโจทก์ไม่พอใจในหลักประกัน แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่เปลี่ยนน.ส.3 และไม่ยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่1 ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่ให้ไว้แก่โจทก์เท่านั้น จำเลยที่1 ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 จะต้องเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 2 และที่3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 จะต้องเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 2 และที่3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำไม่เข้าข่ายฉ้อโกงและทำลายเอกสาร เนื่องจากความยินยอมเริ่มแรกและเอกสารเป็นของผู้กระทำ
โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินมาตั้งแต่แรก การที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรองว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะเปลี่ยน น.ส.3 ให้โจทก์และจะค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุการณ์ในภายหน้าที่จำเลยที่ 1 รับจะดำเนินการดังกล่าวให้ หากโจทก์ไม่พอใจในหลักประกัน แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่เปลี่ยนน.ส.3 และไม่ยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่1 ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่ให้ไว้แก่โจทก์เท่านั้น จำเลยที่1 ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 จะต้องเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 2 และที่3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว.
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 จะต้องเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 2 และที่3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งคำสั่งศาล การตรวจเอกสารโดยผู้เชี่ยวชาญ และสิทธิในการรับมรดก
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา ในกรณีที่ศาลเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารในสำนวน และศาลเห็นสมควร ศาลก็ย่อมใช้อำนาจของศาลเองที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 99ส่งเอกสารนั้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ได้ โดยไม่จำต้องให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยื่นบัญชีระบุพยานหรือระบุชื่อผู้เชี่ยวชาญ จำเลยเป็นพี่ชายเจ้ามรดก ส่วนโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก จำเลยเป็นทายาทลำดับหลังโจทก์ ไม่มีสิทธิรับมรดกรายนี้ จำเลยจึงยกอายุความมรดก 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1755 มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4512/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารที่ส่งต่อศาลโดยความยินยอมของคู่ความ ไม่ถือเป็นพยานที่จำเลยอ้าง
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันว่าก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง จำเลยจะนำเอกสารของธนาคารออมสินเสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลพิจารณาประกอบ โจทก์แถลงเห็นชอบด้วยต่อมาจำเลยส่งเอกสารดังกล่าว โจทก์แถลงรับรองว่าสำเนาเอกสารและข้อความถูกต้อง นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารที่ธนาคารออมสินส่งมาตามหมายเรียกซึ่งศาลออกตามคำร้องขอของโจทก์ และเมื่อโจทก์ตรวจดูแล้วก็ว่าใช่เอกสารที่อ้าง ดังนี้เอกสารดังกล่าวจึงหาใช่เอกสารที่จำเลยอ้างเป็นพยานไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4206/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ แม้ไม่มีการรับรองเอกสารจากสถานทูต หากไม่มีการโต้แย้งและพิสูจน์ลายมือชื่อ
โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ประเทศเยอรมนีมอบอำนาจให้ว.ฟ้องคดี แม้หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์จะไม่มีเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในประเทศเยอรมนีรับรองมา แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้สอบสวนและจำเลยก็ไม่ร้องขอให้ศาลสอบสวนถึงอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจถือว่าศาลและจำเลยมิได้สงสัยอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานมาสืบหักล้างว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่ใช่ของโจทก์ก็ฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีโดยถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3244/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย จำเป็นต้องใช้ต้นฉบับเอกสารเช็คและใบคืนเช็คเป็นหลักฐาน
การอ้างเอกสารเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 ให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น สำเนาภาพถ่ายเช็คและใบคืนเช็คที่เจ้าหนี้อ้างส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อประกอบการพิจารณาคำขอรับชำระหนี้มิใช่ต้นฉบับจึงต้องห้ามมิให้รับฟัง และถือว่าเจ้าหนี้ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ฟังได้ว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ตามเช็คพิพาทจึงต้องห้ามมิให้ได้รับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศกราช 2483มาตรา 94
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 105 ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายเรียกเจ้าหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องหนี้สิน แล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาล การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลชั้นต้นว่า เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียนั้นก็มีผลเท่ากับว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้แล้ว.
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 105 ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายเรียกเจ้าหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องหนี้สิน แล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาล การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลชั้นต้นว่า เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียนั้นก็มีผลเท่ากับว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2696/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมผ่านเอกสารขอรับเงินออกจากงาน
จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ทำความผิด เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประเภทต่าง ๆ ได้ โจทก์ได้ยื่นใบขอรับเงินเมื่อออกจากงานเรียกร้องเอาเฉพาะค่าชดเชยเงินเดือน ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเงินโบนัสและเงินบำเหน็จ มิได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยระบุข้อความตอนท้ายว่าไม่ติดใจที่จะเรียกร้องเงิน สิทธิและประโยชน์อื่นใดจากจำเลยอีก ข้อความในเอกสารที่โจทก์ลงลายมือชื่อให้ไว้แก่จำเลยดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินประเภทอื่นอันจะพึงได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของจำเลย รวมทั้งสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียก ทำให้เจ้าพนักงานประเมินภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนดได้
โจทก์มีบัญชีทั้งหมด 3 เล่ม คือ บัญชีเงินสด บัญชีแยกประเภทและบัญชีรายรับทั่วไป เมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปเพื่อตรวจสอบ โจทก์คงส่งแต่เพียงบัญชีเงินสด เอกสารใบสำคัญคู่จ่าย สัญญารับเหมาก่อสร้าง สำเนาแบบเสียภาษีการค้าและสำเนาใบเสร็จรับเงิน โดยไม่ยอมส่งบัญชีพร้อมทั้งหลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีอย่างอื่นให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบไต่สวนซึ่งไม่เพียงพอแก่การตรวจสอบ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากรได้