พบผลลัพธ์ทั้งหมด 279 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ การนำสืบพยาน และหน้าที่แถลงประเด็นของคู่ความ
(1) ในกรณีที่คู่ความทำสัญญาซื้อขายของและฝ่ายหนึ่งต่อสู้ว่าได้แปลงหนี้ แต่นำสืบได้เพียงว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้พูดว่าให้หาเงินมาให้เร็ว ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้าง นั้นตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสองยังไม่ได้เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1772/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนและการแปลงหนี้: การใช้หนี้แทนบุคคลอื่นและการทำสัญญากู้ยืมเงิน
เจ้าของเรือนกู้เงินโจทก์จำเลยต่อมาจำเลยจะรื้อเอาเรือนไป โจทก์คัดค้าน ในที่สุดจำเลยตกลงจะใช้หนี้ให้โจทก์แทนเจ้าของเรือนโดยโจทก์เลิกคัดค้าน มอบเรือนให้จำเลยไป ดังนี้ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีผลสมบูรณ์ผูกพันกันตามกฎหมายได้ และหากจำเลยไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ก็เป็นการแปลงหนี้เดิมมาเป็นหนี้กู้ยืมเงินซึ่งมีผลสมบูรณ์และบริบูรณ์ตามกฎหมาย ผูกพันกันได้ตามสัญญากู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองตั๋วแลกเงินและการผัดชำระหนี้ ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้หรือสอดเข้าแก้หน้า
ผู้สั่งจ่ายออกตั๋วแลกเงินสั่งให้ผู้จ่ายใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่ผู้รับเงิน มีบุคคลหนึ่งเป็นผู้รับอาวัลด้วย ผู้จ่ายลงนามรับรองแล้ว แต่ไม่ใช้เงินให้ผู้รับเงิน ต่อมาผู้สั่งจ่ายกับผู้รับอาวัลทำบันทึกมอบให้ผู้รับเงินไว้ฉบับหนึ่งมีใจความว่า ขอรับใช้เงินตามตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้นร่วมกันและแทนกัน แต่ขอผัดวันชำระไป และเพื่อเป็นสินเชื่อ ผู้สั่งจ่ายขอนำเอาเครื่องฉายภาพยนต์จำนำผู้รับเงินไว้ การที่ผู้สั่งจ่ายกับผู้รับอาวัลรับรองในเอกสารอื่นมิได้เขียนระบุความลงบนตั๋วแลกเงินนั้นเอง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 952 เช่น นี้ เรียกไม่ได้ว่า เป็นการรับรองด้วยสอดเข้าแก้หน้าและบันทึกดังกล่าวเป็นเพียงผู้สั่งจ่ายเพิ่มหลักประกันให้ผู้รับเงินเพื่อให้ผ่อนเวลาชำระเงินออกไป มิได้เปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เดิม หรือตัวเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ ทั้งไม่มีข้อความส่อว่าคู่กรณีจะระงับหนี้ตามตั๋วแลกเงิน โดยให้ถือเอาสัญญาตามบันทึกนี้แทน จึงไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญากู้ใหม่ – ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของหนี้เดิม
หนี้เงินกู้ ซึ่งทำหนังสือกู้กันใหม่ โดยรวมจำนวนเงินกู้ครั้งหลังเข้าไว้ด้วยนั้น มิใช่เป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่เพราะไม่มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่อย่างใด
บุคคลที่เป็นหนี้เงินกู้ต่อกัน อาจตกลงทำหนังสือกู้กันใหม่หรือนำเงินกู้รายก่อนๆ มารวมในหนังสือกู้ครั้งหลังได้และการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ฉบับหลังย่อมมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารเพราะแม้นำสืบได้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความรับผิดตามเอกสาร
ผู้กู้จะขอนำสืบว่า ผู้ให้กู้เอาจำนวนดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมเป็นต้นเงินในสัญญากู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบว่าหนี้อันเกิดจากดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ไม่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
บุคคลที่เป็นหนี้เงินกู้ต่อกัน อาจตกลงทำหนังสือกู้กันใหม่หรือนำเงินกู้รายก่อนๆ มารวมในหนังสือกู้ครั้งหลังได้และการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ฉบับหลังย่อมมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารเพราะแม้นำสืบได้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความรับผิดตามเอกสาร
ผู้กู้จะขอนำสืบว่า ผู้ให้กู้เอาจำนวนดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมเป็นต้นเงินในสัญญากู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบว่าหนี้อันเกิดจากดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ไม่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบเพื่อพิสูจน์การทำสัญญาและการรับเงิน ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง แม้จะเกี่ยวข้องกับการแปลงหนี้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างในฟ้องว่า จำเลยได้ทำให้ไว้สัญญาดังกล่าวนี้จะสืบเนื่องมาจากการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ ไม่เป็นข้อสำคัญโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์และได้รับเงินไปครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ต่อมานำสืบว่า เอาสัญญากู้รายเก่ามาเปลี่ยนทำสัญญากู้ใหม่ โดยเอาดอกเบี้ย ที่ค้างทบกับต้นเงินรวมเป็นจำนวนเงินกู้ ใหม่ในสัญญาที่โจทก์ฟ้องนั้น เป็นการสืบมูลเหตุที่มาสู่การทำสัญญากู้ เป็นการสืบข้อเท็จจริงแวดล้อมเพื่อแสดงว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงและได้มีการตกลงให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินแล้วอย่างไร ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง และโจทก์ไม่ต้องกล่าวอ้างตั้งประเด็นเรื่องแปลงหนี้ ใหม่มาในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, การแปลงหนี้, และการรับสภาพหนี้: ความรับผิดของลูกหนี้เดิม
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญขอซื้อไม้จากโจทก์โดยมิได้แจ้งว่าเป็นตัวแทนผู้ใด โจทก์เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 ซื้อเองจึงลดราคาไม้ให้ สัญญานี้จึงเป็นสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 โดยตรง ผู้อื่นจะแสดงว่าเป็นตัวการเพื่อเข้ารับสัญญานี้หาทำให้จำเลยต้องหลุดพ้นจากสัญญาไป
การแปลงหนี้ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ด้วยและจะต้องมีสัญญาเป็นสามฝ่าย คือ ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เดิม ว่าเจ้าหนี้ยอมรับเอาลูกหนี้ใหม่โดยระงับหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ต่อลูกหนี้เดิม กับมีสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ใหม่ว่า ลูกหนี้ใหม่จะเข้ารับชำระหนี้แทนลูกหนี้เก่าด้วย
ถึงแม้อายุความในเรื่องสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเริ่มนับแล้วก็ตาม ถ้าจำเลยตอบรับใบทวงหนี้ของโจทก์ว่าเป็นหนี้โจทก์และไม่ปฏิเสธที่จะชำระหนี้รายนั้น เช่นนี้ ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ มีผลให้อายุความสดุดหยุดลง
การแปลงหนี้ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ด้วยและจะต้องมีสัญญาเป็นสามฝ่าย คือ ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เดิม ว่าเจ้าหนี้ยอมรับเอาลูกหนี้ใหม่โดยระงับหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ต่อลูกหนี้เดิม กับมีสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ใหม่ว่า ลูกหนี้ใหม่จะเข้ารับชำระหนี้แทนลูกหนี้เก่าด้วย
ถึงแม้อายุความในเรื่องสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเริ่มนับแล้วก็ตาม ถ้าจำเลยตอบรับใบทวงหนี้ของโจทก์ว่าเป็นหนี้โจทก์และไม่ปฏิเสธที่จะชำระหนี้รายนั้น เช่นนี้ ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ มีผลให้อายุความสดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายไม้, การแปลงหนี้, และการรับสภาพหนี้: สัญญา, ความยินยอม, และผลต่ออายุความ
ข้าราชการบำนาญ ขอซื้อไม้จากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มิได้แจ้งว่ากระทำในฐานะตัวแทนใครโดยว่าขอซื้อไม้สักเพื่อสร้างตึกของตนเอง และขอลดราคาไม้ในฐานะที่ตนเป็นข้าราชการบำนาญองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เชื่อว่าข้าราชการบำนาญผู้นั้นซื้อเอง จึงลดราคาไม้ให้ดังนี้การซื้อขายไม้ดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายระหว่างองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และข้าราชการบำนาญผู้นั้นโดยตรง
การแปลงหนี้ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ด้วยการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้นจะต้องมีสัญญาเป็นสามฝ่าย คือสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เดิมว่าเจ้าหนี้ยอมรับเอาลูกหนี้ใหม่เป็นลูกหนี้ของตนต่อไป โดยระงับหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ต่อลูกหนี้เดิมกับมีสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ว่าลูกหนี้ใหม่จะเข้ารับชำระหนี้แทนลูกหนี้เก่า
การที่ลูกหนี้ตอบรับใบทวงหนี้ของเจ้าหนี้ว่าเป็นหนี้จริงและไม่ปฏิเสธที่จะชำระหนี้รายนั้นย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลง
การแปลงหนี้ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ด้วยการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้นจะต้องมีสัญญาเป็นสามฝ่าย คือสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เดิมว่าเจ้าหนี้ยอมรับเอาลูกหนี้ใหม่เป็นลูกหนี้ของตนต่อไป โดยระงับหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ต่อลูกหนี้เดิมกับมีสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ว่าลูกหนี้ใหม่จะเข้ารับชำระหนี้แทนลูกหนี้เก่า
การที่ลูกหนี้ตอบรับใบทวงหนี้ของเจ้าหนี้ว่าเป็นหนี้จริงและไม่ปฏิเสธที่จะชำระหนี้รายนั้นย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย: การพิจารณาจากเนื้อหาทั้งหมดของฟ้อง และการไม่ถือว่าการชำระหนี้ด้วยเช็คเป็นการแปลงหนี้ใหม่
การพิจารณาคำฟ้องต้องดูทั้งฉบับ เมื่อดูทั้งฉบับแล้วจึงจะเห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องอย่างไร แม้โจทก์จะกล่าวในช่องคู่ความข้างต้นกำกวมบ้าง ก็หามีความสำคัญแก่คดีไม่ และไม่ใช่เรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ด้วย
ลูกหนี้กู้เงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานให้ไว้ เป็นหนังสือ หลังจากนั้นลูกหนี้คนนั้นออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ แล้วขอรับหลักฐานการกู้เงินคืนไป เช่นนี้ มิใช่เป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใด เพราะหนี้ที่มี่ต่อกันนั้นมิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎหมายจึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ฉะนั้น เมื่อปรากฏต่อมาว่า ลูกหนี้ตาย เช็คของลูกหนี้นั้นยังขึ้นเงินไม่ได้ หนี้เดิมจึงยังหาระงับไปไม่
ลูกหนี้กู้เงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานให้ไว้ เป็นหนังสือ หลังจากนั้นลูกหนี้คนนั้นออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ แล้วขอรับหลักฐานการกู้เงินคืนไป เช่นนี้ มิใช่เป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใด เพราะหนี้ที่มี่ต่อกันนั้นมิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎหมายจึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ฉะนั้น เมื่อปรากฏต่อมาว่า ลูกหนี้ตาย เช็คของลูกหนี้นั้นยังขึ้นเงินไม่ได้ หนี้เดิมจึงยังหาระงับไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำฟ้องต้องดูทั้งฉบับ และการแปลงหนี้ใหม่ตามกฎหมาย
การพิจารณาคำฟ้องต้องดูทั้งฉบับ เมื่อดูทั้งฉบับแล้วจึงจะเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องอย่างไร แม้โจทก์จะกล่าวในช่องคู่ความข้างต้นกำกวมบ้าง ก็หามีความสำคัญแก่คดีไม่ และไม่ใช่เรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ด้วย
ลูกหนี้กู้เงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานให้ไว้เป็นหนังสือหลังจากนั้นลูกหนี้คนนั้นออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์แล้วขอรับหลักฐานการกู้เงินคืนไป เช่นนี้ มิใช่เป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใด เพราะหนี้ที่มีต่อกันนั้น มิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎหมายจึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ฉะนั้น เมื่อปรากฏต่อมาว่าลูกหนี้ตาย เช็คของลูกหนี้นั้นยังขึ้นเงินไม่ได้ หนี้เดิมจึงยังหาระงับไปไม่
ลูกหนี้กู้เงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานให้ไว้เป็นหนังสือหลังจากนั้นลูกหนี้คนนั้นออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์แล้วขอรับหลักฐานการกู้เงินคืนไป เช่นนี้ มิใช่เป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใด เพราะหนี้ที่มีต่อกันนั้น มิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎหมายจึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ฉะนั้น เมื่อปรากฏต่อมาว่าลูกหนี้ตาย เช็คของลูกหนี้นั้นยังขึ้นเงินไม่ได้ หนี้เดิมจึงยังหาระงับไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ทำให้หนี้เดิมยังคงมีผลบังคับใช้
จำเลยตกลงเอาที่นาเนื้อที่ 70 ไร่ ตีราคาชำระเท่าหนี้เงินของโจทก์ ต่อมาประมวลกฎหมายที่ดินออกประกาศใช้ตามมาตรา 34 ให้บุคคลมีที่ดินเพื่อทำการเกษตรกรรมได้ไม่เกิน 50 ไร่ และปรากฎว่ายังมิได้มีการโอนที่นาให้โจทก์ตามข้อตกลงนั้น หนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นี้มิได้เกิดขึ้น หนี้เงินเดิมจึงยังหาระงับไปไม่