พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คสำคัญกว่าการไม่มีเงินจ่าย การฎีกาต้องเป็นประเด็นข้อเท็จจริง
การที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คนั้น มิใช่ว่าถ้าจำเลยออกเช็คแล้วไม่มีเงินใช้ตามเช็คจะเป็นความผิดอาญาเสมอไป จะต้องมีกรณีตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ คือ 1. ออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เจตนาดังกล่าวนี้เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความผิด เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังแล้วว่า จำเลยไม่มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โจทก์ร่วมเถียงว่ามีเจตนาเช่นนั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงว่า มีพฤติการณ์ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นความผิดเกิดขึ้นหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาพ้นกำหนดและไม่อนุญาตอ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเนื่องจากประเด็นยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2507 กำหนดระยะเวลา 1 เดือนสำหรับการยื่นฎีกา เริ่มนับหนึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2507 ครบ 1 เดือนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2507 แต่วันที่ 28, 29 พฤศจิกายน 2507 ตรงกับวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรส นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยได้จดทะเบียนสมรส นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้ และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาฎีกา-การอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติม-กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน: ศาลฎีกายืนตามศาลล่างเรื่องกำหนดเวลาและกรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่28 ตุลาคม 2507 กำหนดระยะเวลา 1 เดือนสำหรับการยื่นฎีกา เริ่มนับหนึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2507 ครบ 1 เดือนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2507 แต่วันที่ 28, 29 พฤศจิกายน 2507 ตรงกับวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยได้จดทะเบียนสมรสนั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
โจทก์ขออ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยได้จดทะเบียนสมรสนั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติมาแต่ศาลชั้นต้น โดยโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในข้อนี้และยอมรับในอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยมิใช่สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรส คงอุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่ว่า เรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งข้อเดียวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้อ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยเกี่ยวกับอำนาจฟ้องในคดีไถ่ถอนขายฝากที่ศาลล่างตัดสินเป็นแนวเดียวกัน คดีมีทุนทรัพย์น้อยกว่า 5,000 บาท
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า "โจทก์ได้ขอไถ่ที่ดินขายฝากจากจำเลยภายในกำหนด แล้วจำเลยหลีกเลี่ยไม่ยอมให้ไถ่" จำเลยฎีกามีใจความว่า โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ มาตรา 163, 496 ดังนี้ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามฎีกา หากยังไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้น
ศาลนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยเรื่องมีเหตุสมควรจะสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่จำเลยและพยานจำเลยไม่มาศาลศาลถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบตามคำร้องจึงสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย แต่ยังคงสั่งให้นัดพิจารณาพยานโจทก์ต่อไป คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเพราะยังไม่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินและโฉนด การเพิกถอนโฉนดทับซ้อน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มาก โจทก์ฎีกาได้
คดีที่มีทุนทรัพย์ 3,400 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินตามรูปแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยที่ 2 ให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 5639 ของจำเลย โดยตัดเฉพาะที่ดินส่วนที่ปรากฏในแผนที่พิพาทเส้นสีแดงหมายเลข 2 ออกเสียจากโฉนดส่วนคำขอของโจทก์ให้แบ่งที่พิพาท ศาลพิพากษาให้แบ่งไว้ในคดีแดงที่ 785/2503 แล้ว ไม่ต้องพิพากษาซ้ำอีก คำขออื่นให้ยก(ซึ่งหมายรวมถึงคำขอที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท) ศาลอุทธรณ์แก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด ดังนี้ เป็นแก้มาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกา ทำให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากทิ้งฟ้อง
จำเลยยื่นฎีกาไว้ แล้วเพิกเฉยไม่มาติดต่อนำพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้นานเกินกว่ากำหนดเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกา
จำเลยยื่นฎีกาไว้ แล้วเพิกเฉยไม่มาติดต่อนำพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้นานเกินกว่ากำหนดเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
เจ้าพนักงานทีดินทำแผนที่วิวาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้ ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์จำเลยโต้เถียงการครอบครองกัน เป็นที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ มีเนื้อที่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งหมดที่โจทก์ว่าเป็นของโจทก์ดังนี้ ที่ดินที่พิพาทกันจึงไม่ใช่ที่ดินทั้งแปลงที่โจทก์ตีราคาไว้ 4,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ให้คู่ความตีราคาส่วนที่พิพาทกันไว้ ก็พอกำหนดได้ว่าที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์เรียกค่าเสียหายอีก 1,200 บาท ทุนทรัพย์ในคดีจึงไม่เกิน 5,000 บาท โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามกฎหมาย
เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่วิวาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้ ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์จำเลยโต้เถียงครอบครองกันเป็นที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ มีเนื้อที่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งหมดที่โจทก์ว่าเป็นของโจทก์ ดังนี้ ที่ดินที่พิพาทกันจึงไม่ใช่ที่ดินทั้งแปลงที่โจทก์ตีราคาไว้ 4,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ให้คู่ความตีราคาส่วนที่พิพาทกันไว้ ก็พอกำหนดได้ว่าที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 2,000 บาทโจทก์เรียกค่าเสียหายอีก 1,200 บาท ทุนทรัพย์ในคดีจึงไม่เกิน 5,000 บาท โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248