พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และฆ่าเพื่อหวังทรัพย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดฐานเดียวและแก้ไขคำพิพากษาเรื่องการริบของกลาง
จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนพกเป็นอาวุธเข้าปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายและเพื่อความสะดวกในการปล้นได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคท้าย ต้องลงโทษตามมาตรา 289 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดและเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 289 แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 288 อีกบทหนึ่ง
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานเนื่องจากเลขทะเบียน ลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานเนื่องจากเลขทะเบียน ลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2136/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลคำร้องขัดทรัพย์: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ใช้ราคาซื้อขายที่แท้จริงแทนราคาประเมินเจ้าพนักงานบังคับคดี
มาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอยู่ในลักษณะ 6 หมวดที่ 3 ส่วนที่ 2 ว่าด้วยความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งหมายถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีว่าคยามรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีจะตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายใดเพียงใด อันเป็นดุลพินิจของศาลส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มก่อนที่จะรับคำร้องขอไว้พิจารณาอันเป็นการสั่งชั้นตรวจรับคำร้องขอของผู้ร้องตามมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องขอของผู้ร้องมีทุนทรัพย์ 500,000 บาท แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลมาในจำนวนทุนทรัพย์เพียง 220,000 บาท อันถือว่าคำร้องขอนั้นมิได้ปิดแสตมป์สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ คือ เสียค่าขึ้นศาลให้ครบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอนั้น คำสั่งไม่รับคำคู่ความเช่นนี้ ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227,228,247
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่มีมูลที่จะร้องขอ ซึ่งเท่ากับสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาของผู้ร้อง แล้วสั่งต่อไปว่า ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง และสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มผู้ร้องมิได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าให้ถือว่าทิ้งคำร้องนั้นมีผลแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่า ทิ้งคำร้อง เป็นการคลาดเคลื่อนผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องนั่นเอง ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่มีมูลที่จะร้องขอ ซึ่งเท่ากับสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาของผู้ร้อง แล้วสั่งต่อไปว่า ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง และสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มผู้ร้องมิได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าให้ถือว่าทิ้งคำร้องนั้นมีผลแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่า ทิ้งคำร้อง เป็นการคลาดเคลื่อนผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องนั่นเอง ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2136/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลในคดีขัดทรัพย์: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ใช้ราคาซื้อขายจริง แม้ต่างจากราคาประเมินเจ้าพนักงานบังคับคดี
มาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอยู่ในลักษณะ 6 หมวดที่ 3 ส่วนที่ 2 ว่าด้วยความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งหมายถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีว่าความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีจะตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายใดเพียงใด อันเป็นดุลพินิจของศาลส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มก่อนที่จะรับคำร้องขอไว้พิจารณา อันเป็นการสั่งชั้นตรวจรับคำร้องขอของผู้ร้องตามมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องขอของผู้ร้องมีทุนทรัพย์ 500,000 บาท แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลมาในจำนวนทุนทรัพย์เพียง 220,000 บาท อันถือว่าคำร้องขอนั้นมิได้ปิดแสตมป์สมบูรณ์ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ คือ เสียค่าขึ้นศาลให้ครบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอนั้น คำสั่งไม่รับคำคู่ความเช่นนี้ ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227,228 และ 247
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่มีมูลที่จะร้องขอ ซึ่งเท่ากับสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาของผู้ร้อง แล้วสั่งต่อไปว่า ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง และสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มผู้ร้องมิได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าให้ถือว่าทิ้งคำร้องนั้นมีผลแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่า ทิ้งคำร้อง เป็นการคลาดเคลื่อนผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องนั่นเอง ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคท้าย
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่มีมูลที่จะร้องขอ ซึ่งเท่ากับสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาของผู้ร้อง แล้วสั่งต่อไปว่า ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง และสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มผู้ร้องมิได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าให้ถือว่าทิ้งคำร้องนั้นมีผลแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่า ทิ้งคำร้อง เป็นการคลาดเคลื่อนผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องนั่นเอง ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยหลอกลวงเหยื่อด้วยของล่อ แล้วกระทำอนาจาร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำความผิดสองกรรม ต้องลงโทษตามกฎหมาย
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงหญิงผู้เสียหายว่าจะให้สีผึ้ง 1 ตลับ ผู้เสียหายหลงเชื่อตามไปเอาจากจำเลยที่สวนหลังบ้าน แล้วจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานหลอกลวงหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่ง และฐานกระทำอนาจารอีกกระทงหนึ่ง
สีผึ้งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบ
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยานหลักฐานอย่างใด ถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ควรลดโทษให้จำเลย
สีผึ้งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบ
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยานหลักฐานอย่างใด ถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ควรลดโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมและการจงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการชำระค่าขึ้นศาลครบถ้วนก่อนการสืบพยาน ไม่ถือเป็นการจงใจทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระเพิ่มเติม โจทก์แถลงรับว่าจะนำมาชำระก่อนวันนัดสืบพยานคราวหน้า หากไม่นำมาชำระให้ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ก่อนวันนัดสืบพยาน 1 วัน โจทก์ขอชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมเพียงบางส่วน ส่วนที่ยังขาดขอขยายเวลาไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต โจทก์แถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันนัด โจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลส่วนที่เพิ่มมาชำระจนครบถ้วน ก่อนเวลาศาลจะเรียกเข้าห้องพิจารณาเพื่อดำเนินการสืบพยาน ดังนี้ จะถือว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า - การใช้ขวานทำร้าย - บาดแผลไม่ร้ายแรง - ศาลฎีkayืนลดโทษ
จำเลยใช้ขวานฟันผู้เสียหาย 1 ที โดยตั้งใจจะฟันที่ไหล่ พอดีผู้เสียหายหันมาจึงฟันพลาดไปถูกที่คอ และจำเลยมิได้ฟันซ้ำทั้งที่มีโอกาส ผู้เสียหายมีบาดแผลที่คอด้านหลังเพียงหนังขาดยาวราว 5 เซนติเมตร แสดงว่าขวานไม่คม ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา ศาลฎีกายืนตามคำฟ้อง
คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิด แล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการตั้งประเด็นข้อต่อสู้ที่ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกายืนตามผลคำพิพากษาเดิม
จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องว่า จำเลยได้เคยแจ้งแก่โจทก์แล้วว่าเงินค่าหุ้นของโจทก์ที่โจทก์มีสิทธิรับตามสัญญานั้น จำเลยขอหักกับส่วนหนึ่งของหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดแก่จำเลยตามสัญญา หนี้เงินค่าหุ้นของโจทก์จึงระงับไปแล้วทั้งสิ้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ประเด็นเรื่องจำเลยขอหักกลบลบหนี้จึงไม่มี และเมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าว ประเด็นเรื่องสิทธิเรียกร้องของจำเลยตามคำให้การที่ขอหักหนี้ตามฟ้องโจทก์ จะมีข้อต่อสู้หรือไม่จึงไม่มีเช่นกัน ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ก็รับวินิจฉัยต่อมา จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยฎีกาต่อมาศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้ทางอายุความและฟ้องซ้อน ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยหากไม่ยกขึ้นในคำให้การ
จำเลยให้โจทก์เข้าอยู่ในตึกโดยรับเงินไว้จำนวนหนึ่งแต่จำเลยไม่ทำหนังสือสัญญาให้โจทก์เช่า กลับฟ้องและศาลพิพากษาขับไล่โจทก์ จำเลยต้องคืนเงินที่รับไว้แก่โจทก์
จำเลยไม่ยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา419 ขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จำเลยยกขึ้นเป็นข้อฎีกาไม่ได้
ข้ออ้างว่าฟ้องซ้อนตาม มาตรา173(1) ถ้าไม่ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาไม่เห็นควรยกขึ้นวินิจฉัย
จำเลยไม่ยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา419 ขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จำเลยยกขึ้นเป็นข้อฎีกาไม่ได้
ข้ออ้างว่าฟ้องซ้อนตาม มาตรา173(1) ถ้าไม่ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาไม่เห็นควรยกขึ้นวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีโดยทนายโจทก์ที่เพิ่งแต่งตั้ง: ศาลฎีกาพิจารณาเหตุผลสมควรและไม่เป็นการประวิงคดี
ทนายโจทก์คนแรกได้ขอถอนตัวจากการเป็นทนายให้โจทก์ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2516 ต่อมาวันที่ 3 ธันวาคม 2516 โจทก์แต่งตั้งให้ ส.เป็นทนายคนใหม่ และในวันเดียวกันนั้น ส. ก็ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดว่าความที่ศาลจังหวัดนครปฐมซึ่งนัดไว้ก่อน ดังนี้การขอเลื่อนคดีของ ส.ทนายโจทก์เป็นการขอเลื่อนครั้งแรก และได้ยื่นคำร้องก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า "หากทนายไม่ว่าง ให้รีบแถลงศาล" เหตุที่ขอเลื่อนก็เป็นเหตุสมควร ไม่ใช่เป็นการประวิงคดี ทั้งทนายจำเลยก็มิได้คัดค้านคำร้องขอเลื่อนคดีของโจทก์ จึงสมควรให้เลื่อนคดีไปได้