พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานโจทก์มีเหตุสงสัย ความน่าเชื่อถือของพยานส่งผลถึงจำเลยทั้งสอง แม้จำเลยบางรายมิได้อุทธรณ์
พยานโจทก์มีเหตุที่สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะเป็นคนร้ายชิงทรัพย์เป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยที่2มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่2ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลาง เหตุจำเลยอุทธรณ์เกินกรอบประเด็นที่ต่อสู้ไว้
คำให้การของจำเลยอ้างเหตุแต่เพียงว่า โจทก์เล่นการพนันกับพนักงานในขณะทำงาน คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ขาดงานติดต่อกันเกิน 3 วัน หรือดื่มสุราในเวลาทำงานหรือไม่ แม้ทางพิจารณาจำเลยจะได้นำสืบถึงเหตุดังกล่าว ก็เป็นการนำสืบนอกประเด็น
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรง ทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2528 ผิดพลาดไป 20 แห่ง เป็นข้อผิดพลาดมาก จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47 (5) แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศ ฯ ดังกล่าวข้อ 47 (2)ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรง ทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2528 ผิดพลาดไป 20 แห่ง เป็นข้อผิดพลาดมาก จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47 (5) แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศ ฯ ดังกล่าวข้อ 47 (2)ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างแรงงาน: การอ้างเหตุนอกประเด็น & การเปลี่ยนแปลงเหตุเลิกจ้างในอุทธรณ์ เป็นเหตุให้ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
คำให้การของจำเลยอ้างเหตุแต่เพียงว่า โจทก์เล่นการพนันกับพนักงานในขณะทำงาน คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ขาดงานติดต่อกันเกิน 3วันหรือดื่มสุราในเวลาทำงานหรือไม่ แม้ทางพิจารณาจำเลยจะได้นำสืบถึงเหตุดังกล่าวก็เป็นการนำสืบนอกประเด็น
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรงทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2528 ผิดพลาดไป20แห่ง เป็นข้อผิดพลาดมากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 47(5) แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศฯดังกล่าวข้อ 47(2) ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรงทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2528 ผิดพลาดไป20แห่ง เป็นข้อผิดพลาดมากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 47(5) แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศฯดังกล่าวข้อ 47(2) ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การอ้างเหตุที่ไม่ตรงกับคำให้การเดิม และการยกเหตุใหม่ในชั้นอุทธรณ์
คำให้การของจำเลยอ้างเหตุแต่เพียงว่าโจทก์เล่นการพนันกับพนักงานในขณะทำงานคดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ขาดงานติดต่อกันเกิน3วันหรือดื่มสุราในเวลาทำงานหรือไม่แม้ทางพิจารณาจำเลยจะได้นำสืบถึงเหตุดังกล่าวก็เป็นการนำสืบนอกประเด็น จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรงทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปีประจำปี2528ผิดพลาดไป20แห่งเป็นข้อผิดพลาดมากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ47(5)แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศฯดังกล่าวข้อ47(2)ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยมาตรา31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์: เหตุผล 'กิจธุระจำเป็น-น้ำท่วม' ไม่เพียงพอหากไม่ได้มอบเงินค่าฤชาธรรมเนียม
การที่ทนายจำเลยอ้างในคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ว่าจำเลยมีกิจธุระจำเป็นต้องไปต่างจังหวัดและกลับไม่ทันเพราะน้ำท่วมทางขาดโดยไม่ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความมอบให้แก่ทนายจำเลยเพื่อการอุทธรณ์เป็นเหตุให้ทนายจำเลยยื่นอุทธรณ์ไม่ได้เป็นความผิดหรือความบกพร่องของจำเลยเองมิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์และกรณีไม่ใช่เหตุสุดวิสัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีภาษีโรงเรือน: คดีที่คำขอปลดเปลื้องทุกข์คำนวณเป็นราคาเงินได้และการพิจารณาข้อเท็จจริง
คำฟ้องที่ขอให้ศาลพิพากษาว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและคำชี้ขาดของจำเลยให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนเป็นเงิน 5,400 บาท ไม่ถูกต้องก็คือให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่จำเลยประเมินและมีคำชี้ขาด โจทก์จึงมีคำขอให้จำเลยคืนเงินภาษีโรงเรือนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยคิดให้โจทก์เสียเกินไปให้แก่โจทก์ด้วย หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ทุกข์ของโจทก์ย่อมปลดเปลื้องไปตามจำนวนเงินที่โจทก์ไม่ต้องชำระหนี้และได้รับเงินที่เสียเกินไปนั้นคืน ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีภาษีโรงเรือน: คดีที่คำขอได้ชัดเจนเป็นจำนวนเงินและไม่เกิน 20,000 บาท
คำฟ้องที่ขอให้ศาลพิพากษาว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและคำชี้ขาดของจำเลยให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนเป็นเงิน5,400บาทไม่ถูกต้องก็คือให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่จำเลยประเมินและมีคำชี้ขาดโจทก์จึงมีคำขอให้จำเลยคืนเงินภาษีโรงเรือนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยคิดให้โจทก์เสียเกินไปให้แก่โจทก์ด้วยหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีทุกข์ของโจทก์ย่อมปลดเปลื้องไปตามจำนวนเงินที่โจทก์ไม่ต้องชำระหนี้และได้รับเงินที่เสียเกินไปนั้นคืนฟ้องของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง1ข้อ1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ภาษีป้ายเกินกำหนดระยะเวลา และหนังสือแจ้งผลการหารือไม่ใช่การแจ้งการประเมิน
โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายแต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงทำการประเมินใหม่แล้วแจ้งไปยังโจทก์ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีป้ายลงวันที่ 1 มีนาคม 2526 โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 เดือนเดียวกันแต่มิได้อุทธรณ์ กลับโต้แย้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีหนังสือหารือผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ตอบมายังจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 คำนวณภาษีป้ายถูกต้องแล้ว ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2526 จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบผลการหารือจำเลยที่ 3 กับให้โจทก์นำค่าภาษีป้ายพร้อมเงินเพิ่มไปชำระภายใน 7 วันนับแต่วันรับหนังสือ ครั้นวันที่ 1 มิถุนายน 2526 โจทก์จึงอุทธรณ์การประเมินภาษีป้ายต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 3 ดังนี้ หนังสือลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2526 เป็นการแจ้งให้โจทก์นำภาษีป้ายพร้อมเงินเพิ่มตามที่ได้แจ้งการประเมินไว้แล้วตามหนังสือของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2526 ไปชำระแก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น หาใช่หนังสือแจ้งการประเมินไม่ อุทธรณ์ของโจทก์จึงยื่นเกินกว่า 30 วันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว
เมื่อหนังสือฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2526 มิใช่การแจ้งการประเมิน ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นใดเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ทั้งกำหนดเวลาอุทธรณ์การประเมินก็มิใช่อายุความ จะนำบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงมาปรับหาได้ไม่
เมื่อหนังสือฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2526 มิใช่การแจ้งการประเมิน ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นใดเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ทั้งกำหนดเวลาอุทธรณ์การประเมินก็มิใช่อายุความ จะนำบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงมาปรับหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 214/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำผ่านทนาย และขอบเขตการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม
ทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ตามอำนาจที่จำเลยมอบไว้ให้ในใบแต่งทนายความ สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมมีผลผูกมัดจำเลย จำเลยจะอุทธรณ์ว่าทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยก่อนและมิได้แจ้งผลของคดีให้จำเลยทราบไม่ได้เพราะเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เข้าเหตุใดเหตุหนึ่งตามข้อยกเว้นของมาตรา 138 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งระบุว่าจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันทำยอม โดยมิได้ระบุจำนวนเงินตามฟ้องว่าเป็นเงินเท่าใดนั้น ไม่ใช่ข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ส่วนจำเลยจะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใดนั้นเมื่อมีข้อโต้เถียงกันขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งระบุว่าจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันทำยอม โดยมิได้ระบุจำนวนเงินตามฟ้องว่าเป็นเงินเท่าใดนั้น ไม่ใช่ข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ส่วนจำเลยจะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใดนั้นเมื่อมีข้อโต้เถียงกันขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการตามมาตรา 166 วรรคสอง เพื่อขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ ต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นก่อนอุทธรณ์
เมื่อโจทก์ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นยกคดีของโจทก์ซึ่งถูกยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคหนึ่ง ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่ โจทก์จำต้องปฏิบัติตามมาตรา 166 วรรคสองเสียก่อน โดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลชั้นต้น เพื่อศาลจะได้ไต่สวนคำร้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์มาศาลไม่ได้ตามกำหนดนัดดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาสั่งได้โดยถูกต้อง การที่โจทก์กลับยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าวเป็นความจริงเพียงใดหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่อาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้เพราะไม่มีข้อเท็จจริงที่จะวินิจฉัยให้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการปฏิบัติข้ามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงชอบแล้ว