คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18303/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน เนื่องจากข้อเท็จจริงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 โดยขอให้ลงโทษสถานเบาและศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16397/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีออกจากสารบบเมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์: ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับจำเลยนั้นต่อไป
คดีนี้โจทก์และจำเลยที่ 6 อุทธรณ์ เมื่อจำเลยที่ 6 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 6 ถอนอุทธรณ์เฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยที่ 6 เท่านั้น แล้วพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ที่อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยที่ 6 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันต่อไป แต่ศาลอุทธรณ์กลับมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ 6 ออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษา คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13572/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาในคดีขับไล่ แม้มีข้อจำกัดตามกฎหมาย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โจทก์มีสิทธิฎีกาได้ และการพิสูจน์การออกจากที่ดินพิพาท
คดีนี้ แม้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของผู้ถูกฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งคู่ความในคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12212/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในคดีค่าทดแทนผู้เสียหาย: คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ห้ามฎีกา
จำเลยที่ 1 ร้องขอให้จ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 มาตรา 22 เมื่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญามีคำวินิจฉัยอย่างไร มาตรา 25 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9727/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. ม.216 วรรคหนึ่ง จำเลยคัดลอกคำพิพากษาเดิมโดยไม่โต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยตั้งแต่ต้นจนจบชนิดคำต่อคำ แล้วสรุปว่า แม้ ส. พ. และ บ. จะเบิกความแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองก็ตาม แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า โดยลำพังไม่มีน้ำหนักลงโทษจำเลยได้ โดยจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร มีข้อเท็จจริงและเหตุผลใดที่หักล้างข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้รับฟังใหม่ได้ว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำให้การในชั้นสอบสวน ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8997/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อไม่ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน
คู่ความที่ฎีกาต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ เพื่อให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องด้วยเหตุใดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จะให้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา โดยไม่มีเหตุผลและข้อคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ได้
ปัญหาฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง มิใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา จึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี
ที่โจทก์ฎีกาว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์คัดค้านในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตั้งแต่ ฟ้องของโจทก์ก็ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดการกระทำผิดของจำเลยตามกฎหมายที่ชัดเจนครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ซึ่งจำเลยก็เข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ดี ไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด มีการเบิกความไต่สวนมูลฟ้อง จนศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาและการเบิกความในชั้นพิจารณาของศาล โจทก์ก็เบิกความในข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญแก่คดีตามข้อกฎหมายที่โจทก์ได้ฟ้องแล้ว จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และเมื่อโจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงได้อุทธรณ์คัดค้านโต้แย้งข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของกฎหมายในข้อประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัย โดยโจทก์เห็นว่าเป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ภาค 5 อีกชั้นหนึ่งว่าการเบิกความของจำเลยต่อศาลตามพยานเอกสารคำเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวจะเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีไม่พึงรับไว้พิจารณาแล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างในคำฟ้องฎีกาดังกล่าว โจทก์มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เลยว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดครบองค์ประกอบความผิดฐานเบิกความเท็จตามข้อเท็จจริงใดที่โจทก์ได้บรรยายไว้แล้วในฟ้องด้วยข้อความใดและอย่างไร คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องอย่างไร เช่นนี้จึงเป็นฎีกาที่มิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับในการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8410/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ทุกประเด็น การลงโทษฐานครอบครองยาเสพติดไม่เข้าข่ายบทหนักตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดสถานหนักตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจำคุก ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาโดยชอบแล้ว ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่จะลงโทษจำเลยสถานหนักตามที่โจทก์อุทธรณ์หรือไม่ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ คงวินิจฉัยเฉพาะอุทธรณ์ของจำเลย ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8)
คำว่า ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 บัญญัติไว้ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า "ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด" หมายความว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติด... โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนและกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะระวางโทษเป็นสามเท่าตามมาตรา 10 แห่งบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8021/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องโต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่แค่คัดลอกคำศาลชั้นต้น
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง วางหลักในการยื่นฎีกาประการหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างนั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา คดีนี้โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะได้รับฟังได้ว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้เป็นลายมือชื่อของจำเลย และโจทก์คัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ในปัญหาดังกล่าว โดยคัดลอกคำตัดสินของศาลชั้นต้นทุกถ้อยคำในส่วนที่ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยจนจบคำวินิจฉัยในปัญหานี้ ซึ่งในปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้หลายประการที่ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ซึ่งต่างไปจากเหตุผลที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์จึงต้องโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่รับฟังข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลมานั้น ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงอย่างไรและด้วยเหตุผลใด มิใช่อ้างแต่เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ถูกต้องและศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงถูกต้องชอบด้วยเหตุผลแล้วเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะบทลงโทษโดยยังคงความผิดเดิมและโทษจำคุกตลอดชีวิต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสาม, 102 แต่ปรับบทลงโทษเฉพาะความผิดฐานนำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพียงในส่วนของการปรับบทลงโทษว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วยเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และลงโทษฐานนำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนของการปรับบทกำหนดโทษ แต่ยังคงวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดและลงโทษตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา ซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6597/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทลงโทษโดยศาลอุทธรณ์และการจำกัดสิทธิในการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
คดีนี้ในความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 138 วรรคสอง 140 วรรคแรก และวรรคสาม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 138 วรรคสอง โดยไม่ได้ปรับบทลงโทษตามมาตรา 140 วรรคแรก และวรรคสามด้วย แต่ลักษณะความผิดตาม ปอ. มาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 140 วรรคแรก ไม่แตกต่างกันและไม่มีระวางโทษจำคุกขั้นต่ำเหมือนกัน ต่างกันเฉพาะระวางโทษขั้นสูงซึ่งมาตรา 138 วรรคสอง ระวางโทษขั้นสูงจำคุกไม่เกินสองปี ส่วนมาตรา 140 วรรคแรก ระวางโทษขั้นสูงจำคุกไม่เกินห้าปีและตาม ปอ. มาตรา 140 วรรคสาม เป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดมาตรา 140 วรรคแรก ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากไม่ ไม่เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แก้บทลงโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพียงแต่แก้จำนวนโทษมิได้แก้บทลงโทษ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
of 225