พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,604 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คถือเป็นการสัญญาว่าจะจ่ายเงินเมื่อผู้ทรงไม่ได้รับเงินตามเช็ค ผู้ออกเช็คต้องนำสืบพิสูจน์ว่าเป็นการชำระหนี้
การออกเช็คต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ออกเพื่อชำระหนี้ผู้สั่งจ่ายอ้างว่า ออกเช็คเพื่อก่อหนี้ คือ ออกให้เป็นการชำระราคาล่วงหน้าผู้สั่งจ่ายต้องนำสืบให้ได้ความชัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้จำนอง: หลักฐานการชำระหนี้ต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรค 2 พยานบุคคลเพียงอย่างเดียวไม่พอ
เมื่อคดีได้ความว่าหนี้จำนองรายนี้เป็นเรื่องที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ไปใช้ ในลักษณะยืมเงินแล้วทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ ดังนั้น การที่จะนำสืบถึงการชำระหนี้จะต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรค 2 มาใช้บังคับ จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าได้ชำระหนี้แล้ว ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การชำระหนี้จากการยึดถือสัญญากู้และการขาดหลักฐานการรับเงิน
เมื่อปรากฎว่าสัญญากู้เงินที่จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานยังคงอยู่ที่โจทก์โดยมิได้เพิกถอนในเอกสารนั้นว่าได้ชำระหนี้แล้ว ทั้งรับว่าไม่มีเอกสารใดอีกที่มีลายมือชื่อโจทก์พอที่จะให้เป็นหลักฐานแสดงการรับเงินของโจทก์ก็ย่อมแสดงว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่
เช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเมื่อทวงถาม จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น
เช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเมื่อทวงถาม จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การชำระหนี้สัญญาเงินกู้: หลักฐานต้องชัดเจนและมีลายมือชื่อผู้รับเงิน
เมื่อปรากฏว่าสัญญากู้เงินที่จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานยังคงอยู่ที่โจทก์โดยมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นว่าได้ชำระหนี้แล้วทั้งรับว่าไม่มีเอกสารใดอีกที่มีลายมือชื่อโจทก์พอที่จะให้เป็นหลักฐานแสดงการรับเงินของโจทก์ก็ย่อมแสดงว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่
เช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเมื่อทวงถาม จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น
เช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเมื่อทวงถาม จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การชำระหนี้: หลักฐานการใช้เงินตามสัญญา กู้ยืม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินไปจริง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระเงินกู้ให้โจทก์หมดแล้ว จำเลยทวงถามขอให้คืนสัญญากู้ โจทก์ว่าหาย การที่โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้อง เป็นการฉ้อโกงและเป็นความเท็จ สัญญากู้จึงใช้ไม่ได้ ตกเป็นโมฆะ ดังนี้ จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบถึงการใช้เงินกู้นอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรค 2 หาได้ไม่ (ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 435/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายฝากและการชำระหนี้สินไถ่ สัญญาอำพรางมิได้ การฟ้องขับไล่และสิทธิในทรัพย์สิน
จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ แม้จะมีข้อตกลงต่อกันชำระดอกเบี้ยในเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยก็ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง ไม่เป็นการกู้เงินไปได้ ข้อต่อสู้ว่าชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วมีผลว่าชำระสินไถ่แล้วเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เหตุเถียงข้อเท็จจริงเรื่องการชำระหนี้ค่าที่ดินในสัญญาซื้อขาย
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท 4,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ต้องห้ามฏีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.248
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า สามีโจทก์และโจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่พิพาทให้แก่จำเลย โจทก์จะฎีกาว่เป็นการซื้อขายเด็ดขาด โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าได้ชำระเงินและรับเงินไปแล้ว ไม่ได้เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า สามีโจทก์และโจทก์ไม่ได้ชำระค่าที่พิพาทให้แก่จำเลย โจทก์จะฎีกาว่เป็นการซื้อขายเด็ดขาด โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าได้ชำระเงินและรับเงินไปแล้ว ไม่ได้เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยไม่สุจริตต่อตัวแทนที่ไม่ได้รับมอบอำนาจ ย่อมไม่ถือเป็นการชำระหนี้โดยชอบ
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระให้แก่นายขาบสามี โจทก์แล้ว นายขาบร้องสอดเข้ามารับว่าได้รับชำระไว้แทนโจทก์แล้ว วันชี้สองสถาน ศาลกำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อน จำเลยแถลงว่าถ้าโจทก์ยอมรับว่าขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดิน นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยจำเลยก็ไม่นำสืบ โจทก์ยอมรับ คู่ความต่างไม่สืบพยาน
ดังนี้ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมประเด็น ข้อต่อสู้กลับไม่สืบ จะอาศัยแต่เพียงการรับของโจทก์ว่าขณะทำสัญญาซื้อขาย นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยเท่านั้นไม่พอ หากจะฟังว่าขณะนั้นนายขาบเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ปรากฎว่าเป็นสามีที่ร้างกันหรืออยู่กินด้วยกันตามปกติ นามสกุลก็ใช้ต่างกัน เมื่อฟ้องคดี โจทก์ก็อ้างว่าเป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้นำสืบว่านายขาบยังเป็นสามีโจทก์อยู่ และมีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนโจทก์ได้แต่อย่างใด การที่จำเลยอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้รายนี้แก่นายขาบแม้จะเป็นจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ทำการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดี
ดังนี้ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมประเด็น ข้อต่อสู้กลับไม่สืบ จะอาศัยแต่เพียงการรับของโจทก์ว่าขณะทำสัญญาซื้อขาย นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยเท่านั้นไม่พอ หากจะฟังว่าขณะนั้นนายขาบเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ปรากฎว่าเป็นสามีที่ร้างกันหรืออยู่กินด้วยกันตามปกติ นามสกุลก็ใช้ต่างกัน เมื่อฟ้องคดี โจทก์ก็อ้างว่าเป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้นำสืบว่านายขาบยังเป็นสามีโจทก์อยู่ และมีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนโจทก์ได้แต่อย่างใด การที่จำเลยอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้รายนี้แก่นายขาบแม้จะเป็นจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ทำการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยบุคคลอื่นแทนลูกหนี้ต้องมีอำนาจชอบธรรม การยอมรับของโจทก์ไม่เพียงพอ
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระให้แก่นายขาบสามีโจทก์แล้ว นายขาบร้องสอดเข้ามารับว่าได้รับชำระไว้แทนโจทก์แล้ว วันชี้สองสถาน ศาลกำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อน จำเลยแถลงว่าถ้าโจทก์ยอมรับว่าขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดิน นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยจำเลยก็ไม่นำสืบ โจทก์ยอมรับ คู่ความต่างไม่สืบพยาน
ดังนี้ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมประเด็นข้อต่อสู้กลับไม่สืบจะอาศัยแต่เพียงการรับของโจทก์ว่าขณะทำสัญญาซื้อขาย นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยเท่านั้น ไม่พอ หากจะฟังว่าขณะนั้นนายขาบเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสามีที่ร้างกันหรืออยู่กินด้วยกันตามปกตินามสกุลก็ใช้ต่างกัน เมื่อฟ้องคดีโจทก์ก็อ้างว่าเป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้นำสืบว่านายขาบยังเป็นสามีโจทก์อยู่ และมีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนโจทก์ได้แต่อย่างใด การที่จำเลยอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้รายนี้แก่นายขาบแม้จะเป็นจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ทำการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดี
ดังนี้ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมประเด็นข้อต่อสู้กลับไม่สืบจะอาศัยแต่เพียงการรับของโจทก์ว่าขณะทำสัญญาซื้อขาย นายขาบได้ยินยอมรู้เห็นด้วยเท่านั้น ไม่พอ หากจะฟังว่าขณะนั้นนายขาบเป็นสามีโจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสามีที่ร้างกันหรืออยู่กินด้วยกันตามปกตินามสกุลก็ใช้ต่างกัน เมื่อฟ้องคดีโจทก์ก็อ้างว่าเป็นหญิงหม้าย จำเลยมิได้นำสืบว่านายขาบยังเป็นสามีโจทก์อยู่ และมีอำนาจที่จะรับชำระหนี้แทนโจทก์ได้แต่อย่างใด การที่จำเลยอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้รายนี้แก่นายขาบแม้จะเป็นจริง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ทำการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยแลกเปลี่ยนกับการออกค่าใช้จ่ายแต่งงาน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลผูกพันได้หากมีการชำระหนี้แล้ว
จำเลยตกลงจะโอนขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ตอบแทนในการที่โจทก์ออกเงินแต่งงานให้จำเลย แม้ข้อตกลงนี้จะไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้คือออกเงินแต่งงานให้แก่จำเลยไปตามที่ได้ตกลงกันแล้วย่อมถือว่าจำเลยให้คำมั่นจะขายที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 456 เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ย่อมฟ้องร้องขอให้บังคับคดีตามที่จำเลยตกลงไว้นั้นได้