พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากลักทรัพย์เป็นขโมยทรัพย์: จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ย่อมต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้มิใช่ทรัพย์มีราคาเล็กน้อยอย่างเดียวผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเห็นหลักประกอบด้วย
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้มิใช่ทรัพย์มีราคาเล็กน้อยอย่างเดียวผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเห็นหลักประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากปรับเป็นจำคุก แม้ไม่เกิน 1 ปี ทำให้จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ให้ปรับจำเลย 100 บาท ของกลางทั้งหมดให้ริบ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7 ; (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2501 มาตรา 3, 5, 8 และกฎกระทรวงมหาดไทย(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2501 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ดังนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ดี แต่โทษจำคุกยังไม่เกิน 1 ปี เช่นนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ดังนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ดี แต่โทษจำคุกยังไม่เกิน 1 ปี เช่นนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7,72 ให้ปรับจำเลย 100 บาท ของกลางทั้งหมดให้ริบโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4,7(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2501มาตรา 3,5,8 และกฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2501 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ดังนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ดี แต่โทษจำคุกยังไม่เกิน 1 ปีเช่นนี้จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ดังนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ดี แต่โทษจำคุกยังไม่เกิน 1 ปีเช่นนี้จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่อนุญาตระบุพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่โต้แย้งสิทธิอุทธรณ์ฎีกาขาด
คำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานและบัญชีระบุพยานนั้น หาใช่คำคู่ความที่ยื่นต่อศาลไม่ฉะนั้น คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ระบุพยานจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคู่ความไม่โต้แย้งไว้ก็ย่อมจะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งนั้นไม่ได้
คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเข้าสืบ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อไม่โต้แย้งไว้ ก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาเช่นกัน
คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเข้าสืบ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อไม่โต้แย้งไว้ ก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นใหม่ และผลของการไม่มีหลักฐานสัญญาเช่าต่อการต่อสู้คดี
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์นั้น ในชั้นฎีกาต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงต้อห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
จำเลยฎีกาตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัยตามมาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
จำเลยฎีกาตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัยตามมาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249 และสิทธิสัญญาเช่าไม่มีหลักฐาน
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์นั้นในชั้นฎีกาต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
จำเลยฎีกาว่า ตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัย มาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
จำเลยฎีกาว่า ตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัย มาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงขัดกับฟ้อง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมาย
จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องก็เพราะอ้างว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด ดังนี้เป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์และสิทธิในการฎีกาของโจทก์
ศาลชั้นต้นจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย 1 ปี และรอการลงโทษด้วย เป็นการแก้มาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ใบมอบอำนาจ, การรับข้อเท็จจริง, ประเด็นยุติ, ข้อกล่าวอ้างใหม่ในชั้นฎีกา
กรมมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ใบมอบอำนาจไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 121
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง
จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสำเนาใบมอบอำนาจติดท้ายฟ้องส่งให้แก่จำเลย ปรากฏว่าเมื่อจำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วได้ดำเนินคดีเรื่อยมา เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี 2 วัน เกินกำหนดเวลากฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีผลประการใด
เมื่อจำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ขับรถยนต์แฉลบลงข้างทางตามฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงก็รับฟังเป็นยุติจากคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2504 (ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้ วันที่ 6 มกราคม 2504) ก็ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ข้อเท็จจริงที่ว่า กรมอนามัยได้ใช้ราคารถยนต์ให้แก่องค์การยูนิเซฟแล้วหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้อง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง
จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสำเนาใบมอบอำนาจติดท้ายฟ้องส่งให้แก่จำเลย ปรากฏว่าเมื่อจำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วได้ดำเนินคดีเรื่อยมา เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี 2 วัน เกินกำหนดเวลากฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีผลประการใด
เมื่อจำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ขับรถยนต์แฉลบลงข้างทางตามฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงก็รับฟังเป็นยุติจากคำฟ้องโจทก์คำให้การจำเลย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2504 (ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ชนต้นไม้ วันที่ 6 มกราคม 2504) ก็ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ข้อเท็จจริงที่ว่า กรมอนามัยได้ใช้ราคารถยนต์ให้แก่องค์การยูนิเซฟแล้วหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการดำเนินคดีล้มละลายแทนเจ้าหนี้: การมอบอำนาจครอบคลุมถึงการอุทธรณ์ฎีกา
คดีล้มละลาย การที่เจ้าหนี้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แทน และให้มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเจ้าหนี้ ประนีประนอมยอมความ รับเงิน ตลอดจนทำการอื่นใดที่เกี่ยวกับคดีล้มละลายเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ทนายผู้รับมอบอำนาจย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินคดีแทนเจ้าหนี้คนนั้นได้ตลอดไปจนถึงชั้นอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลด้วย เพราะเป็นเรื่องของกระบวนพิจารณาที่สืบต่อจากการยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นเอง