พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษเฉพาะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้ฟ้องมีข้อหาอื่น
พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 บัญญัติว่า "ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด" หมายความว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และ "กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด" หมายความว่า กฎหมายว่าด้วยการป้องกันการใช้สารระเหยกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ และกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท คดีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 ซึ่งเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ดังนั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 แต่ก็ยังคงลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2522 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า ร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
การที่ผู้เสียหายพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเบิกความต่อศาล ครั้นเมื่อมาเบิกความกลับระบุว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่คนร้าย อันขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่ให้การยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย จึงเชื่อว่าเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ ชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การตั้งแต่วันเกิดเหตุยังไม่มีเวลาไตร่ตรองหาเหตุผลมาช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มายังสถานีตำรวจ ผู้เสียหายก็ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายตั้งแต่วันเกิดเหตุนั้นเอง คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายจึงน่าเชื่อถือมากกว่าคำเบิกความชั้นศาล
โจทก์ฎีกาเพียงว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสองในบางข้อหานั้น โจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพื่อให้เห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฎีกาเพียงว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสองในบางข้อหานั้น โจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพื่อให้เห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11410/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์: คดีเกี่ยวกับยาเสพติดต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด
คดีขอให้ริบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 15 บัญญัติให้คดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ดังนี้เมื่อผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาพิพากษาคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10978/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อลักทรัพย์/รับของโจร เพราะศาลอุทธรณ์ตัดสินลงโทษแล้ว และจำเลยได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ. ล้างมลทิน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจร ต้องถือว่าศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยเต็มตามความประสงค์ของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมไม่อาจฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพื่อให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดมาตราส่วนโทษที่ถูกต้อง และข้อจำกัดการแก้ไขโทษของศาลอุทธรณ์โดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์
การลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่งนั้น ศาลต้องลดอัตราโทษขั้นสูงและขั้นต่ำจากโทษที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดที่จำเลยกระทำลงกึ่งหนึ่ง แล้วจึงกำหนดโทษจำเลยในระวางโทษที่ลดแล้วนั้น จะกำหนดโทษจำเลยก่อน แล้วลดมาตราส่วนโทษลงย่อมไม่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำเลยจำคุก 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี แม้ไม่ถูกต้อง แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 12 ปี โดยโจทก์ไม่อุทธรณ์ ย่อมเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำเลยจำคุก 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี แม้ไม่ถูกต้อง แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 12 ปี โดยโจทก์ไม่อุทธรณ์ ย่อมเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9984/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เห็นพ้องว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจ จึงจำหน่ายคดี และศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องแม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี แต่ศาลอุทธรณ์ก็ให้เหตุผลในการจำหน่ายคดีว่า เป็นเพราะคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นเช่นกัน มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9957/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ฎีกาของผู้คัดค้านเพียงแต่อ้างปัญหาเรื่องการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษของผู้คัดค้านว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้อย่างไรเท่านั้น ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ชอบอย่างไร พร้อมทั้งเหตุซึ่งเป็นข้ออ้างที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว ฎีกาของผู้คัดค้านจึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9812/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์: ศาลมีอำนาจแก้ไขถ้อยคำผิดพลาดได้ หากไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับดุลพินิจในการกำหนดโทษของจำเลยที่ 1 ในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง แต่ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี สำหรับความผิดฐานดังกล่าว กรณีจึงเป็นความผิดหลงหรืออีกนัยหนึ่งเขียนคำพิพากษาในส่วนที่กำหนดโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานดังกล่าวผิดพลาดไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดให้ถูกต้องได้โดยมิได้เป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 190 ประกอบมาตรา 215 ทั้ง ป.วิ.อ. ได้บัญญัติวิธีพิจารณาในกรณีแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดไว้แล้ว จึงไม่อาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 143 มาใช้บังคับกับกรณีดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9609/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายอุทธรณ์แทนจำเลยโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
บ. ทนายจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ว่าความตามใบแต่งทนายความ แต่ไม่ได้รับอำนาจจากจำเลยที่ 2 ให้ใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ทนายจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ จึงเป็นการอุทธรณ์โดยไม่ได้รับอำนาจจากตัวความโดยชัดแจ้ง ทนายจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยที่ 2 คำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ทนายจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์เป็นการลงลายมือชื่อโดยไม่มีอำนาจ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) ประกอบมาตรา 215 แต่การที่จะให้จำเลยที่ 2 แก้ไขคำฟ้องอุทธณณ์ หรือมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ก็ล่วงเลยเวลาที่จะปฏิบัติได้เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณาคดีเสร็จแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาคดีในส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 2 และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของโจทก์และแก้ไขคำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 1 ยังคงมีผลชอบด้วยกฎหมายต่อไป กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป ให้ยกฎีกาของโจทก์เสียด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9050/2553 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด แม้มีโทษตามกฎหมายจราจรสูงกว่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษอยู่ด้วย คดีนี้จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 5 ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด และตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ก็บัญญัติให้ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษอีกหนึ่งในสาม จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั่นเองดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว หากจำเลยจะฎีกาจะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามแนวคำสั่งคำร้องของศาลฎีกาที่เคยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องมิใช่ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม กรณีคำร้องดังกล่าวพอแปลได้ว่าจำเลยประสงค์ที่จะขอให้ศาลฎีกาพิจารณารับฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไว้วินิจฉัยตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามแนวคำสั่งคำร้องของศาลฎีกาที่เคยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องมิใช่ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม กรณีคำร้องดังกล่าวพอแปลได้ว่าจำเลยประสงค์ที่จะขอให้ศาลฎีกาพิจารณารับฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไว้วินิจฉัยตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง