พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงและการไม่แสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า คำเบิกความของตัวโจทก์ พยานจำเลย และพฤติการณ์ของจำเลยประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้องนั้น เป็นการโต้เถียงการชั่งน้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น โจทก์มิได้แสดงโดยชัดเจนว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร หาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ไม่
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่เป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499มาตรา 22 ทวิ
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น โจทก์มิได้แสดงโดยชัดเจนว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร หาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ไม่
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่เป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499มาตรา 22 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3898/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์เรื่องค่าเสียหายต้องระบุเหตุผลโต้แย้งชัดเจน หากไม่ชัดเจนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมิได้
อุทธรณ์เรื่องค่าเสียหายที่กล่าวเพียงว่าจำเลยมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้นตามกฎหมายนั้นจำเลยหาได้กล่าวโต้แย้งข้อเท็จจริงและยกเหตุผลให้ชัดแจ้งว่า เหตุใดจึงไม่สมควรให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นให้ชดใช้และมีเหตุผลใดที่จะให้จำเลยรับผิดน้อยลง อุทธรณ์ของจำเลยในเรื่องค่าเสียหายจึงไม่เป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาแก้เรื่องค่าเสียหาย จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3898/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ค่าเสียหายต้องชัดเจนเหตุผล หากอุทธรณ์ไม่ชัดเจน ศาลอุทธรณ์พิจารณาไม่ได้
อุทธรณ์เรื่องค่าเสียหายที่กล่าวเพียงว่าจำเลยมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้นตามกฎหมายนั้นจำเลยหาได้กล่าวโต้แย้งข้อเท็จจริงและยกเหตุผลให้ชัดแจ้งว่าเหตุใดจึงไม่สมควรให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นให้ชดใช้และมีเหตุผลใดที่จะให้จำเลยรับผิดน้อยลงอุทธรณ์ของจำเลยในเรื่องค่าเสียหายจึงไม่เป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาแก้เรื่องค่าเสียหายจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีอากรค้างและการยึดทรัพย์: สิทธิของนายอำเภอตามประมวลรัษฎากร แม้มีการอุทธรณ์
เมื่อจำเลยที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีอากรและแจ้งการประเมินไปยังโจทก์แล้ว โจทก์มิได้เสียภาษีอากรภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน ภาษีอากรที่ประเมินนั้นย่อมเป็นภาษีอากรค้าง ซึ่งจำเลยที่ 8 ในฐานะนายอำเภอมีอำนาจที่จะสั่งยึดทรัพย์สินของโจทก์ได้โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง ถึงแม้โจทก์จะไม่เห็นด้วยกับการประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 3 และได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีอากรต่ออธิบดีกรมสรรพากร แต่การประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 3 ก็มีผลบังคับตามกฎหมาย หาใช่ว่าเมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินแล้ว จะต้องรอฟังผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรก่อนจึงจะถือว่าเป็นภาษีอากรค้างไม่
โจทก์มิได้เสียภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และยังมิได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ทุเลาการเสียภาษี จำเลยที่ 8ในฐานะนายอำเภอย่อมมีอำนาจที่จะสั่งยึดทรัพย์สินของโจทก์ เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้างได้เพราะไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าเมื่อมีการอุทธรณ์การประเมินและขอทุเลาการเสียภาษีต่ออธิบดีกรมสรรพากร แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาชำระภาษีอากรแล้ว ก็ให้นายอำเภองดการใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เพื่อรอฟังคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรก่อน การที่จะงดหรือไม่งดจึงอยู่ในดุลพินิจของนายอำเภอเพียงแต่นายอำเภอจะต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจมิให้ขัดกับคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งจะมีมาในภายหลัง
โจทก์มิได้เสียภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และยังมิได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ทุเลาการเสียภาษี จำเลยที่ 8ในฐานะนายอำเภอย่อมมีอำนาจที่จะสั่งยึดทรัพย์สินของโจทก์ เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้างได้เพราะไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าเมื่อมีการอุทธรณ์การประเมินและขอทุเลาการเสียภาษีต่ออธิบดีกรมสรรพากร แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาชำระภาษีอากรแล้ว ก็ให้นายอำเภองดการใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เพื่อรอฟังคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรก่อน การที่จะงดหรือไม่งดจึงอยู่ในดุลพินิจของนายอำเภอเพียงแต่นายอำเภอจะต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจมิให้ขัดกับคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งจะมีมาในภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ภาษีค้าง: แม้มีอุทธรณ์ ก็ต้องชำระก่อนหากไม่ได้รับการทุเลา
เมื่อจำเลยที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีอากรและแจ้งการประเมินไปยังโจทก์แล้ว โจทก์มิได้เสียภาษีอากรภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน ภาษีอากรที่ประเมินนั้นย่อมเป็นภาษีอากรค้าง ซึ่งจำเลยที่ 8 ในฐานะนายอำเภอมีอำนาจที่จะสั่งยึดทรัพย์สินของโจทก์ได้โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง ถึงแม้โจทก์จะไม่เห็นด้วยกับการประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 3 และได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีอากรต่ออธิบดีกรมสรรพากร แต่การประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 3ก็มีผลบังคับตามกฎหมาย หาใช่ว่าเมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินแล้วจะต้องรอฟังผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรก่อนจึงจะถือว่าเป็นภาษีอากรค้างไม่ โจทก์มิได้เสียภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และยังมิได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ทุเลาการเสียภาษี จำเลยที่ 8 ในฐานะนายอำเภอย่อมมีอำนาจที่จะสั่งยึดทรัพย์สินของโจทก์ เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้างได้เพราะไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าเมื่อมีการอุทธรณ์การประเมินและขอทุเลาการเสียภาษีต่ออธิบดีกรมสรรพากร แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาชำระภาษีอากรแล้ว ก็ให้นายอำเภองดการใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เพื่อรอฟังคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรก่อน การที่จะงดหรือไม่งดจึงอยู่ในดุลพินิจของนายอำเภอเพียงแต่นายอำเภอจะต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจมิให้ขัดกับคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งจะมีมาในภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3705/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง คดีฉ้อโกงในศาลแขวง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยให้เหตุผลในการตัดสินว่ากรณียังไม่มีพฤติการณ์ที่จะแสดงว่าจำเลยทั้งสองส่อเจตนาฉ้อโกงโจทก์ เป็นการยกฟ้องในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบกันหลอกลวงอันเป็นการฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3598/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดและสัญญาฝากทรัพย์: ประเด็นการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า อ.นำรถยนต์พิพาทไปจอดที่ลานจอดรถ ของจำเลยโดยมีพนักงานของจำเลยเฝ้าดูแล อ.ปิดประตูใส่กุญแจรถ แล้วเข้าไปใช้บริการในสถานการค้าของจำเลย ต่อมา อ.ออกมาเอารถ ปรากฏว่ารถพิพาทหายไป ดังนี้ตามฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยรับผิดในเรื่องสัญญาฝากทรัพย์
เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยรับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225
เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยรับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3570/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา แม้เป็นประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยนั้น ต้องเกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ มิใช่ข้อเท็จจริงนอกประเด็นนอกสำนวนที่จำเลยยกมากล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3570/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และฎีกาต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น มิฉะนั้นเป็นอุทธรณ์ต้องห้าม
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยนั้น ต้องเกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ มิใช่ข้อเท็จจริงนอกประเด็นนอกสำนวนที่จำเลยยกมากล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3425/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซื้อขายแยกส่วน ทุนทรัพย์พิพาทแต่ละโจทก์ต้องพิจารณาต่างหาก หากทุนทรัพย์น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด อุทธรณ์ย่อมไม่รับ
โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าน้ำมันชนิดต่าง ๆ จากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊ม ท.บริการฟ้องเรียกเงินจำนวน73,688 บาท โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊ม ย.บริการฟ้องเรียกเงินจำนวน 15,896 บาท โดยทั้งสองมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี เพราะเป็นการซื้อขายคนละสถานที่คนละเวลา ซึ่งโดยปกติโจทก์ทั้งสองจะฟ้องคดีรวมกันมาไม่ได้ ฉะนั้นในการคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทจึงต้องแยกพิจารณาของโจทก์แต่ละคนไป จะนำมาพิจารณารวมกันไม่ได้ เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 15,986 บาท คดีในส่วนของโจทก์ที่ที่ 2 จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและย่อมพิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องของโจทก์ที่ 2