คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 886 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นนอกคำฟ้องในคดีแรงงาน ศาลต้องพิพากษาเฉพาะประเด็นที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่มีเหตุสมควรเพื่อความเป็นธรรม
โจทก์มีคำขอให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ15ทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแต่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ15ต่อปีซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ31วรรคหนึ่งแม้ศาลแรงงานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดก็เป็นการกำหนดประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบการที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์โดยมิได้กล่าวว่ามีเหตุสมควรอย่างไรจึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา52จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาชี้ว่าการพิพากษาเรื่องดอกเบี้ยค่าล่วงเวลาต้องมีฐานจากคำฟ้องและข้อเรียกร้อง มิเช่นนั้นเป็นการเกินอำนาจศาล
ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินค่าล่วงเวลาโจทก์มีคำขอให้จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ15ทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จซึ่งเป็นการขอให้บังคับจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ31วรรคสองประเด็นในคดีย่อมต้องเกิดจากคำฟ้องและคำให้การเมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปีซึ่งกำหนดไว้ในประกาศดังกล่าวข้อ31วรรคหนึ่งแม้ศาลแรงงานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดก็เป็นการกำหนดประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องการกำหนดประเด็นส่วนของดอกเบี้ยจึงเป็นการไม่ชอบแม้ศาลแรงงานวินิจฉัยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ก็ต้องถือว่าวินิจฉัยในเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา52ที่บัญญัติว่าห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องเว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้จึงเห็นได้ว่าโดยหลักแล้วจะสั่งเช่นนั้นไม่ได้นอกจากจะเข้าข้อยกเว้นแต่ในคำพิพากษาศาลแรงงานก็มิได้กล่าวว่ามีเหตุสมควรอย่างไรจึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3232/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขึ้นอยู่กับข้ออ้างในคำฟ้อง หากข้ออ้างขัดแย้งกับที่ระบุไว้เดิม ศาลจะไม่รับฟัง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของสินค้าที่บรรทุกมาในรถยนต์คันที่ถูกชนหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าอันเป็นสินค้าตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นของ ว. ดังนั้น โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่โจทก์อุทธรณ์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าว โจทก์ต้องรับผิดต่อ ว.ในความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์และโจทก์ได้ใช้ค่าเสียหายให้แก่ ว.แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้นั้น หากโจทก์ระบุข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในคำฟ้อง โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ แต่เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุข้อความตามที่โจทก์กล่าวอ้าง กลับระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียเองอันเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าวหรือไม่ ดังนี้เรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังและวินิจฉัยว่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องฉ้อโกงที่ไม่ระบุชื่อกฎหมาย แต่เนื้อหาชัดเจนเพียงพอ ศาลไม่ถือว่าฟ้องไม่สมบูรณ์
หน้าคำฟ้องของโจทก์ลงข้อหาว่าฉ้อโกง และโจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพเท่ากับจำเลยยอมรับว่าได้กระทำการต่างๆ ดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง แม้ว่าส่วนคำขอท้ายฟ้องพิมพ์ไว้แต่เพียงว่าขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 59, 341โดยมิได้อ้างชื่อกฎหมายแห่งมาตรานั้นๆ ก็ตาม แต่เมื่อประมวลคำฟ้องโจทก์แล้วทราบได้ว่ากฎหมายที่ขอให้ลงโทษนั้นคือ ป.อ.ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งมาตราที่พิมพ์ไว้ในคำขอท้ายฟ้องตรงกับมาตราที่บัญญัติไว้ใน ป.อ.ในหมวด 3 ความผิดฐานฉ้อโกง คำฟ้องของโจทก์จึงขาดตกบกพร่องเพียงแต่มิได้ระบุชื่อของกฎหมายเท่านั้น แต่เมื่อมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นได้ว่ากฎหมายที่ขอให้ลงโทษเป็นกฎหมายอะไร จึงหาเพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (6)ไม่ ฟ้องโจทก์สมบูรณ์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบเกินคำฟ้องในคดีประกันภัย ศาลไม่อาจวินิจฉัยชดใช้ค่าเสียหายนอกเหนือจากที่ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความเสียหายของสินค้าที่บรรจุในลังหมายเลข 8 ว่า เครื่องสูบจำนวน 4 ชุด หลวม ท่อแตกเสียหาย โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าสินค้าในลังหมายเลข 8 คือ เครื่องสูบจำนวน 4 ชุด สูญหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดจากสินค้าเครื่องสูบจำนวน 4 ชุด ซึ่งบรรจุในลังหมายเลข 8 เสียหาย เพราะเครื่องสูบหลวม ท่อแตกเสียหายเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดจากสินค้าเครื่องสูบสูญหายด้วย ซึ่งจำเลยก็ให้การว่าสินค้าในลังหมายเลข 8 เสียหายเพราะเครื่องสูบหลวมนั้นไม่ได้เกิดจากการขนส่ง แต่เป็นเพราะ ความบกพร่องของสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศซึ่งสัญญาประกันภัยไม่คุ้มครองความเสียหาย ประเด็นที่เกี่ยวกับสินค้าในลังหมายเลข 8 จึงมีเพียงว่า เครื่องสูบจำนวน 4 ชุด หลวม ท่อแตกเสียหายตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใดแม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นว่าสินค้าของโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด ก็หาได้หมายถึงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะนำสืบถึงความเสียหายอื่น ๆ นอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องไม่ การที่โจทก์นำสืบและฎีกาขอให้ได้ รับชดใช้ค่าเสียหายสำหรับเครื่องสูบ 4 ชุด ที่สูญหายไป จึงเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงและฎีกาให้จำเลยรับผิดใน เรื่องนอกเหนือคำฟ้อง ซึ่งไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้
เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องยืนยันสภาพความเสียหายที่โจทก์ได้รับมาแน่นอน การที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายอย่างอื่นนอกเหนือจากความเสียหายที่โจทก์กล่าวมาในคำฟ้อง จึงมิใช่เป็นการนำสืบในรายละเอียดของความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจกำหนดค่าเสียหายสำหรับความเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้นได้
การที่ศาลจะมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ได้แม้โจทก์จะนำสืบค่าเสียหายไม่ได้แน่นอนนั้น หมายถึงกรณีที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายตามคำฟ้องได้แล้ว แต่นำสืบถึงค่าเสียหายไม่ได้แน่นอนเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของคำฟ้องกรณีตัวการ-ตัวแทน และการระบุตัวผู้เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัย
โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80 - 5080 สมุทรสาคร โดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นตัวการ แล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่า ประการแรกผู้ขับซึ่งเป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 รับผิดทั้งสองประการ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 862 วรรคสอง ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัย แต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้นดังนั้น เมื่อ ส.เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อ ช.บุตร ส. ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้น การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า ส.เป็นผู้เอาประกันภัย แต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อ ช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของคำฟ้องและการระบุตัวผู้เอาประกันภัยในสัญญาประกันภัย
โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร โดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นตัวการ แล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่า ประการแรกผู้ขับขี่เป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 รับผิดทั้งสองประการ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862 วรรคสองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัย แต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ ส. เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อ ช.บุตรส.ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้น การที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าส.เป็นผู้เอาประกันภัยแต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อระบุความสัมพันธ์ของจำเลยกับผู้กระทำละเมิด และการรับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย
โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่าจำเลยที่1เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน80-5080สมุทรสาครโดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่1เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1ในฐานะเป็นตัวการแล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่าประการแรกผู้ขับขี่เป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่1และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่1เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1ในฐานะตัวการเพื่อให้จำเลยที่1รับผิดทั้งสองประการจึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา862วรรคสองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยแต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้นดังนั้นเมื่อส. เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัยส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อช.บุตรส. ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้นการที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าส.เป็นผู้เอาประกันภัยแต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องชัดเจน-ศาลอุทธรณ์มีอำนาจย้อนสำนวนสืบพยาน แม้ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายความเป็นมาแห่งคดีเกี่ยวกับการที่จำเลยแต่ละคนบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์รวมถึงการที่จำเลยแต่ละคนทำละเมิดเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใด และจะต้องรับผิดต่อโจทก์ให้เป็นที่เข้าใจได้อย่างดี ไม่มีข้อความใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาคำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอคำบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172วรรคสอง แล้ว แม้มิได้ระบุว่าบุกรุกอย่างไรและมีความกว้างยาวเท่าใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนี้ แม้คำสั่งศาลชั้นต้นจะเป็นคำสั่งที่ชอบ แต่ก็เป็นคำสั่งที่ชอบเฉพาะประเด็นที่ว่า โจทก์ในฐานะคู่ความจะอุทธรณ์ในเรื่องขอสืบพยานใหม่ไม่ได้เท่านั้น มิได้หมายความว่าห้ามศาลอุทธรณ์มิให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ด้วย ซึ่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่มีอยู่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684-2689/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้รายละเอียดไม่ครบถ้วน ศาลสูงมีอำนาจย้อนสำนวนเพื่อสืบพยานเพิ่มเติม
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายความเป็นมาแห่งคดีเกี่ยวกับการที่จำเลยแต่ละคนบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์รวมถึงการที่จำเลยแต่ละคนทำละเมิดเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใดและจะต้องรับผิดต่อโจทก์ให้เป็นที่เข้าใจได้อย่างดีไม่มีข้อความใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาคำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วแม้มิได้ระบุว่าบุกรุกอย่างไรและมีความกว้างยาวเท่าใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไปฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนี้แม้คำสั่งศาลชั้นต้นจะเป็นคำสั่งที่ชอบแต่ก็เป็นคำสั่งที่ชอบเฉพาะประเด็นที่ว่าโจทก์ในฐานะคู่ความจะอุทธรณ์ในเรื่องขอสืบพยานใหม่ไม่ได้เท่านั้นมิได้หมายความว่าห้ามศาลอุทธรณ์มิให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ด้วยซึ่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243
of 89