พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานในข้อเท็จจริง จึงไม่อาจฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 8ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 8 รู้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อจำเลยที่ 8 จ้างจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 เข้าไปตัดถาง หญ้าในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 8 อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้ยึดถือครอบครองถาง ป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยที่ 8 ไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยที่ 8 ว่าจ้างจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 มาถาง ที่พิพาทโดยเข้าใจว่าที่เกิดเหตุเป็นการปลูกป่าของทางราชการ จึงขาดเจตนากระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนโดยเชื่อตามคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์ว่าประชาชนทั่วไปทราบดีว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติจึงมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวน ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 8ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,122(พ.ศ. 2528)คลาดเคลื่อน เพราะหลงเชื่อคำเบิกความของพยานโจทก์โดยไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดในกฎกระทรวงซึ่งมิได้ระบุว่าหมู่ที่ 5 ตำบลระบำ อำเภอลานสัก ตามฟ้องเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากในอำเภอลานสักคงมีแต่ตำบลลานสักและตำบลป่าอ้อเท่านั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอลงโทษจำเลยที่ 2 เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4695/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ข้อโต้แย้งเรื่องสถานที่เกิดเหตุและอำนาจสอบสวน เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(3)ลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยให้จำคุก 2 เดือน มิได้แก้บทกฎหมายที่จำเลยกระทำความผิดเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาจำเลยในปัญหาเรื่องอำนาจสอบสวนนั้นเหตุที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อโต้แย้งคือ จำเลยมีพยานรู้เห็นว่าจำเลยได้มอบเช็คพิพาทให้แก่ ป. มิใช่ให้แก่โจทก์ร่วม ดังนั้น สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งอยู่ในท้องที่การสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลพญาไท หาใช่สถานีตำรวจนครบาลสามเสนซึ่งเป็นท้องที่ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยตรง การร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสามเสนไม่มีอำนาจสอบสวนฎีกาจำเลยดังกล่าวนี้มีเนื้อหาสาระเป็นการโต้แย้งข้อวินิจฉัยของศาลในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมโดยตรงหรือไม่ ท้องที่เกิดเหตุเป็นท้องที่ใดเป็นหลักส่วนเรื่องอำนาจสอบสวนเป็นเพียงผลสรุปแห่งข้อโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวเท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4501/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับอาวุธปืนและการครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายบางกระทง มิได้แก้โทษจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ปจ.1ไม่เป็นเอกสารสำหรับอาวุธปืนของกลาง และฟังไม่ได้ว่าจำเลยซื้ออาวุธปืนของกลางจากนายสมพงษ์ สวัสดิ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้ออาวุธปืนของกลางจากนายสมพงษ์จำเลยนำอาวุธปืนของกลางพร้อมเอกสารหมาย ปจ.1 มายื่นคำร้องขอซื้ออาวุธปืนของกลางจากพนักงานเจ้าหน้าที่และมีหนังสืออนุญาตให้ไปขอรับโอนซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ยังไม่ได้โอนเป็นชื่อของจำเลย อาวุธปืนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นอาวุธปืนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายนับว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยวางอาวุธปืนของกลางในรถคันที่จำเลยขับ ซึ่งจอดอยู่หน้าร้านอาหาร ส่วนจำเลยกับพวกนั่งรับประทานอาหารในร้านดังกล่าว ไม่มีทรัพย์สินมีค่าในรถ การพาอาวุธปืนติดตัวไปถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยมิดชิดไม่เปิดเผยเพื่อป้องกันทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะสรุปโดยง่ายว่าเป็นความผิดและไม่มีเหตุสมควรเร่งด่วน เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยวางอาวุธปืนของกลางในรถคันที่จำเลยขับ ซึ่งจอดอยู่หน้าร้านอาหาร ส่วนจำเลยกับพวกนั่งรับประทานอาหารในร้านดังกล่าว ไม่มีทรัพย์สินมีค่าในรถ การพาอาวุธปืนติดตัวไปถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยมิดชิดไม่เปิดเผยเพื่อป้องกันทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะสรุปโดยง่ายว่าเป็นความผิดและไม่มีเหตุสมควรเร่งด่วน เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4501/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรก กรณีโต้เถียงข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในคดีอาวุธปืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายบางกระทง มิได้แก้โทษจึงต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ปจ.1 ไม่เป็นเอกสารสำหรับอาวุธปืนของกลาง และฟังไม่ได้ว่าจำเลยซื้ออาวุธปืนของกลางจากนายสมพงษ์สวัสดิ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้ออาวุธปืนของกลางจากนายสมพงษ์จำเลยนำอาวุธปืนของกลางพร้อมเอกสารหมาย ปจ.1 มายื่นคำร้องขอซื้ออาวุธปืนของกลางจากพนักงานเจ้าหน้าที่และมีหนังสืออนุญาตให้ไปขอรับโอนซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ยังไม่ได้โอนเป็นชื่อของจำเลยอาวุธปืนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นอาวุธปืนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายนับว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยวางอาวุธปืนของกลางในรถคันที่จำเลยขับ ซึ่งจอดอยู่หน้าร้านอาหาร ส่วนจำเลยกับพวกนั่งรับประทานอาหารในร้านดังกล่าว ไม่มีทรัพย์สินมีค่าในรถ การพาอาวุธปืนติดตัวไปถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยมิดชิดไม่เปิดเผยเพื่อป้องกันทรัพย์สินของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะสรุปโดยง่ายว่าเป็นความผิดและไม่มีเหตุสมควรเร่งด่วน เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4439/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ดินโจทก์ กับทำที่ดินให้กลับอยู่ในสภาพเดิม จำเลยให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงมิได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์ และโจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อที่พิพาทมีเนื้อที่เพียงประมาณ 4 ตารางวา ไม่อาจมีราคาเกินกว่า 200,000 บาทจึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4382/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก
จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือศาลรับฟังพยานโจทก์ที่เบิกความแตกต่างกันเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4227/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นและข้อเท็จจริงปิดผัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนนั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เหตุที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นเป็นเหตุลดโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุในลักษณะคดี โดยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพราะให้การรับสารภาพชั้นศาล และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เพราะรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นคนละเหตุกัน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเป็นเหตุเดียวกันนั้นเป็นการปิดผันข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งในเนื้อหาก็คือการฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เหตุที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นเป็นเหตุลดโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุในลักษณะคดี โดยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพราะให้การรับสารภาพชั้นศาล และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เพราะรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นคนละเหตุกัน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเป็นเหตุเดียวกันนั้นเป็นการปิดผันข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งในเนื้อหาก็คือการฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4227/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง การโต้แย้งเหตุลดโทษที่ไม่ใช่ข้อกฎหมาย
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนนั้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เหตุที่ศาลชั้นต้นเป็นเหตุลดโทษจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นเหตุในลักษณะคดีโดยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพราะให้การรับสารภาพชั้นศาล และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เพราะรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นคนละเหตุกัน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเป็นเหตุเดียวกันนั้น เป็นการปิดบังข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งในเนื้อหาก็คือการฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมาย ดังกล่าวเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4184/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในคดีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท: การโต้เถียงข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาล
ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 190,454 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคงมีจำนวนเพียง 190,454 บาทส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถือเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อและจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้