พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,104 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9783/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพักงานลูกจ้างเพื่อรอผลคดีอาญา ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง หากยังมีความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้างอยู่
จำเลยสั่งพักงานโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเพื่อรอคดีอาญาที่โจทก์ ต้องหาว่าลักทรัพย์ของนายจ้างจนกว่าคดีถึงที่สุดเป็นการให้ลูกจ้าง หยุดงานเป็นการชั่วคราวสภาพการเป็นนายจ้างลูกจ้างยังคงมีอยู่ต่อไป ไม่ใช่เป็นกรณีจำเลยไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไปโดยเด็ดขาดเพราะเมื่อคดีถึงที่สุดหากโจทก์ไม่มีความผิดจำเลยก็ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานเสมือนว่าไม่เคยเลิกจ้างและต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้โจทก์เพราะการที่โจทก์ไม่ได้ทำงานนั้นเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยเองไม่มอบงานให้ทำ การสั่งพักงานโจทก์จึงไม่เป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9783/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พักงานลูกจ้างรอผลคดีอาญา ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
การเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ46วรรคสองนั้นมีความหมายว่าเป็นการที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปโดยเด็ดขาดโดยไม่จ่ายค่าจ้างให้ด้วยซึ่งสภาพความเป็นนายจ้างและลูกจ้างสิ้นสุดลงไม่ใช่เรื่องกาให้ลูกจ้างหยุดงานเพียงชั่วคราวซึ่งสภาพการเป็นนายจ้างและลูกจ้างยังไม่สิ้นสุดลงและลูกจ้างยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างถ้านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างระหว่างให้หยุดงานชั่วคราวลูกจ้างก็มีสิทธิเรียกเอาได้ส่วนข้อความที่ว่า"ไม่ว่าเพราะเหตุอื่นใด"ในกฎหมายดังกล่าวนั้นก็หมายถึงมูลเหตุของกรณีที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปโดยเด็ดขาดโดยไม่จ่ายค่าจ้างนั้นเองมิใช่กรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานชั่วคราวหรือพักงานแต่อย่างใดเช่นนี้การที่จำเลยสั่งพักงานโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยเพื่อรอการลงโทษจนกว่าคดีอาญาที่โจทก์ต้องหาว่าลักทรัพย์ของนายจ้างจะถึงที่สุดนั้นนับว่าเป็นการให้ลูกจ้างหยุดงานเป็นการชั่วคราวสภาพการเป็นนายจ้างลูกจ้างยังคงมีอยู่ต่อไปไม่ใช่เป็นกรณีจำเลยไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไปโดยเด็ดขาดเพราะเมื่อคดีถึงที่สุดปรากฎว่าโจทก์ไม่มีความผิดจำเลยก็ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานต่อไปเสมือนหนึ่งว่าไม่เคยเลิกจ้างและจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้แก่โจทก์เพราะการที่โจทก์ไม่ได้ทำงานนั้นเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยเองก็ไม่มอบงานให้ทำแต่จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์การสั่งพักงานโจทก์จึงไม่เป็นการเลิกจ้างตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิด: ผลผูกพันนายจ้างต่อการเลิกจ้างโดยตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจ
ว. เป็นผู้รับโจทก์เข้าทำงานในบริษัทจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาจ้างโจทก์แทนจำเลยซึ่งตามหนังสือจ้างงานดังกล่าวระบุว่าว. มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายธุรการบุคคลของบริษัทจำเลยและเมื่อมีกรณีที่โจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ว.ก็เป็นผู้เรียกโจทก์ไปตำหนิเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจำเลยได้เชิดว.ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยหรือรู้แล้วยอมให้ว. เชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยในการจ้างหรือเลิกจ้างโจทก์ได้ดังนั้นการที่ว. บอกเลิกจ้างโจทก์จึงมีผลผูกพันจำเลยเสมือนว่าว.เป็นตัวแทนของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา821
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7327/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธินายจ้างกำหนดโบนัสตามผลประกอบการ และเจตนาของข้อตกลงระยะสั้น
ข้อตกลงในคำชี้ขาดคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 39/2519ข้อ 2 ซึ่งมีผลผูกพันโจทก์ทุกคนกับจำเลยทั้งสองตลอดมานับแต่ปี 2519 จนถึงปัจจุบันประกอบด้วยสาระสำคัญสองส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างปีละครั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสที่จำเลยทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียวมีสิทธิกำหนด จำเลยทั้งสองจะต้องจ่ายเงินโบนัสมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับผลประกอบการของจำเลยทั้งสองเป็นรายปี การจ่ายเงินโบนัสจึงมีลักษณะเฉพาะตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณในแต่ละปีไป หาได้มีบทบังคับจำเลยทั้งสองให้ต้องจ่ายเงินโบนัสเท่ากันทุกปีไม่ จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสของปีที่ผ่านมาใช้แก่การจ่ายเงินโบนัสในปีต่อไปได้เว้นแต่จำเลยทั้งสองและลูกจ้างจะตกลงให้เป็นเช่นนั้น และแต่ละปีที่ผ่านมามีการจ่ายเงินโบนัสไม่เท่ากันตามความแตกต่างของหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสของปีนั้น ๆ ที่จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายกำหนด เมื่อปรากฏว่าผลประกอบการของจำเลยทั้งสองในปี 2536 อยู่ในระดับต่ำกว่าผลประกอบการในปี 2535 จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างในปี 2536 น้อยกว่าที่เคยจ่ายในปี 2535 ได้ ที่จำเลยทั้งสองกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2536 โดยจ่ายเพียงอัตราร้อยละ 50 ของการจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2535 จึงเป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะกระทำได้ จะถือว่าจำเลยทั้งสองปฏิบัติผิดข้อตกลงที่ทำกับผู้แทนสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมผ้าห่มไทยและสิ่งทอฉบับลงวันที่ 22 มกราคม 2537ข้อ 5 ที่กำหนดว่า สิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ ที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองเคยให้แก่ลูกจ้างจำเลยทั้งสองจะปฏิบัติต่อไปตามเดิมทุกประการ หาได้ไม่ เพราะข้อตกลงนี้กำหนดขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงข้อ 2 ตามคำชี้ขาดคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 39/2519 ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้วโดยจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2536 ให้แก่ลูกจ้างเช่นทุกปีที่ผ่านมาตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณที่จำเลยทั้งสองได้กำหนดขึ้น
สำหรับข้อตกลงข้อ 2 ตามคำชี้ขาดดังกล่าวในส่วนที่สองเป็นการกำหนดว่าหลังจากจำเลยทั้งสองใช้สิทธิวางหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณจ่ายเงินโบนัสประจำปีแล้ว จำเลยทั้งสองต้องมีหน้าที่ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวนั้นให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายเงินโบนัสไม่น้อยกว่าสองเดือน ทั้งนี้เพื่อให้ลูกจ้างทราบถึงสิทธิของตนในการรับเงินโบนัสแต่ละปีว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด การประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสจึงมีผลเพียงว่า ทำให้ลูกจ้างแต่ละคนทราบถึงสิทธิในการรับเงินโบนัสของแต่ละปีเท่านั้น หามีผลกระทบต่อสิทธิของลูกจ้างในการรับเงินโบนัสไม่ ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเงินโบนัสมากน้อยเพียงใดคงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสที่จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายกำหนด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสแต่อย่างใด ซึ่งปรากฏว่าในแต่ละปีที่ผ่านมาจำเลยทั้งสองไม่เคยประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสให้ลูกจ้างทราบเลย แต่จำเลยทั้งสองก็ได้จ่ายเงินโบนัสให้ทุกปี และลูกจ้างก็ยอมรับมาโดยตลอด
บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา12 วรรคสอง มีผลใช้บังคับแก่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยทั่วไปเท่านั้นหามีผลใช้บังคับแก่ข้อตกลงที่มีเจตนาให้ใช้บังคับชั่วระยะเวลาหนึ่งเวลาใดไม่เมื่อหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสประจำปีมีลักษณะเฉพาะให้ใช้บังคับในแต่ละปีไป จึงไม่อาจนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับในเรื่องการจ่ายเงินโบนัสเพื่อให้มีผลต้องนำหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2535 มาใช้บังคับแก่การจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2536 แต่ประการใด
สำหรับข้อตกลงข้อ 2 ตามคำชี้ขาดดังกล่าวในส่วนที่สองเป็นการกำหนดว่าหลังจากจำเลยทั้งสองใช้สิทธิวางหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณจ่ายเงินโบนัสประจำปีแล้ว จำเลยทั้งสองต้องมีหน้าที่ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวนั้นให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายเงินโบนัสไม่น้อยกว่าสองเดือน ทั้งนี้เพื่อให้ลูกจ้างทราบถึงสิทธิของตนในการรับเงินโบนัสแต่ละปีว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด การประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสจึงมีผลเพียงว่า ทำให้ลูกจ้างแต่ละคนทราบถึงสิทธิในการรับเงินโบนัสของแต่ละปีเท่านั้น หามีผลกระทบต่อสิทธิของลูกจ้างในการรับเงินโบนัสไม่ ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเงินโบนัสมากน้อยเพียงใดคงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสที่จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายกำหนด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสแต่อย่างใด ซึ่งปรากฏว่าในแต่ละปีที่ผ่านมาจำเลยทั้งสองไม่เคยประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินโบนัสให้ลูกจ้างทราบเลย แต่จำเลยทั้งสองก็ได้จ่ายเงินโบนัสให้ทุกปี และลูกจ้างก็ยอมรับมาโดยตลอด
บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา12 วรรคสอง มีผลใช้บังคับแก่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยทั่วไปเท่านั้นหามีผลใช้บังคับแก่ข้อตกลงที่มีเจตนาให้ใช้บังคับชั่วระยะเวลาหนึ่งเวลาใดไม่เมื่อหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการจ่ายเงินโบนัสประจำปีมีลักษณะเฉพาะให้ใช้บังคับในแต่ละปีไป จึงไม่อาจนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับในเรื่องการจ่ายเงินโบนัสเพื่อให้มีผลต้องนำหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2535 มาใช้บังคับแก่การจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2536 แต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6935/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างในการปฏิบัติงาน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ดำเนินกิจการโรงสีข้าว ท. ร่วมกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 บรรทุกข้าวสารของโรงสีข้าว ท. ไปส่งตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 โดยประมาทเลินเล่อชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ เป็นการทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6359/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติงานต่อเนื่อง
ผู้ตายได้ขับรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของกรมส่งเสริม-การเกษตรจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนายจ้าง นำยุวเกษตรกรไปเข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อเสร็จงานแล้วผู้ตายขับรถนำยุวเกษตรกรเดินทางกลับ จากนั้นได้ขับรถออกไปรับประทานอาหารต่อที่จังหวัดนครปฐมเป็นการส่วนตัวกับเพื่อน หลังจากรับประทานเสร็จผู้ตายได้ขับรถไปส่งเพื่อนผู้ตายที่บ้าน แล้วผู้ตายขับรถมุ่งหน้าไปอำเภอสามพรานโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถชนกับรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้ แม้ผู้ตายจะขับรถในความครอบครองของจำเลยที่ 4 นำยุวเกษตรกรเดินทางกลับเสร็จแล้วและหลังจากนั้นผู้ตายขับรถออกไปรับประทานอาหาร จนเกิดเหตุอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุกตอนขากลับแต่ผู้ตายยังต้องนำรถของทางราชการจำเลยที่ 4 ไปเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 4ตามหน้าที่ ดังนั้นการขับรถของผู้ตายดังกล่าวยังเป็นเวลาและการกระทำต่อเนื่องเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของผู้ตาย ซึ่งถือได้ว่าการกระทำของผู้ตายยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6359/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดนายจ้างต่อผลละเมิดของลูกจ้าง: การปฏิบัติงานต่อเนื่องแม้หลังเลิกงาน
แม้ผู้ตายจะขับรถในความครอบครองของจำเลยที่ 4 เดินทางกลับ จากไปราชการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเสร็จแล้วหลังจากนั้นผู้ตายได้ขับรถออกไปรับประทานอาหารและส่งเพื่อนจนเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกตอนขากลับ ซึ่งผู้ตายยังต้องนำรถไปเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 4 ถือว่าการกระทำของผู้ตายยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติตามหน้าที่การงาน จำเลยที่ 4จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากรถยนต์ การสันนิษฐานสินสมรส และค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต
จำเลยที่ 3 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 2แล้ว แต่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เบิกความรับว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมาระหว่างสมรส ซึ่งแม้มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในทะเบียนแต่ไม่ได้นำสืบว่าเป็นสินส่วนตัวหรือเป็นสินสมรสต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้ติดต่อหาคนขับรถและดูแลกิจการโดยทั่วไป บางครั้งได้ให้จำเลยที่ 3 ช่วยดูแลบ้าง รายได้จากการรับจ้างก็แบ่งให้จำเลยที่ 3 เพื่อใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3ไปเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับฝ่ายโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ยังคงทำกิจการร่วมกันจำเลยที่ 3 จึงเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชน ส. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ทั้งสองจนถึงแก่ความตายด้วย ค่าใช้จ่ายในงานศพ เช่น ค่าดอกไม้ ค่าบุหรี่ถวายพระถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคหนึ่งส่วนเงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงใดก็นำมาบรรเทาความรับผิดของจำเลยไม่ได้ และเนื่องจากบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา การที่ผู้ตายตายลงทำให้บิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะ จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าปัจจุบันผู้ตายจะได้ อุปการะเลี้ยงดูอยู่หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5435/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องจำเลยนายจ้างร่วมรับผิดในละเมิดของลูกจ้าง และผลของการประนีประนอมยอมความ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วย อันเป็นการฟ้องจำเลยที่ 2 นายจ้างให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างตามป.พ.พ. มาตรา 425 คดีจึงไม่มีประเด็นว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาประนี-ประนอมยอมความหรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ก.อันทำให้สิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาศาลก็จะพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4699/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของตนเอง และความรับผิดต่อการทุจริตของลูกจ้าง
จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาน่าน จำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานของสาขาโจทก์ที่จำเลยเป็นผู้จัดการทั้งหมด ทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานของโจทก์ที่ทำงานอยู่ในสาขาเดียวกันกับจำเลยจำเลยจะต้องควบคุมดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์โดยเคร่งครัดรวมทั้งตัวจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยเป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยชุดหนึ่งซึ่งจำเลยสามารถจะเข้าไปเปิดห้องมั่นคง และตู้นิรภัยได้ตลอดเวลาโดยลำพังผู้เดียวส่วนกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอีกชุดหนึ่งมีการแยกเก็บรักษา โดย ร.เป็นผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคง ส่วน พ.ผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยลำพังเพียง ร.หรือ พ.คนใดคนหนึ่งไม่สามารถจะเปิดตู้นิรภัยได้ ก่อนวันเกิดเหตุและระหว่างวันเกิดเหตุ พ.กลับจากลาพักผ่อนประจำปีเข้ามาทำงานตามปกติ และได้รับมอบกุญแจและรหัสตู้นิรภัยมาเก็บรักษาแล้ว ดังนั้น ระหว่างวันเกิดเหตุผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงคือ ร.และผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสตู้นิรภัยคือ พ.เมื่อเป็นเช่นนี้ในขณะเกิดเหตุ ร.หรือ พ.จึงไม่อาจจะเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังเพียงคนเดียวได้ แต่จำเลยเพียงผู้เดียวสามารถที่จะเข้าไปเปิดได้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีที่ส่วนหนึ่งของเงินที่หายไปอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของ พ.ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังว่าเงินของโจทก์หายไปเกิดจากการกระทำของผู้เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัยแล้ว สำหรับ ร.และ พ.นั้นต่างคนต่างเก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงและตู้นิรภัยอันเป็นการแยกเก็บรักษาตามหน้าที่ของตนตามปกติ จึงถือมิได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์หายส่วนกรณีเงินที่หายไปจากตู้นิรภัยส่วนหนึ่ง กับเงินที่มิได้เก็บไว้ในตู้นิรภัย แต่ไปอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของ พ.นั้นก็ไม่ทำให้เห็นว่า พ.ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อ เพราะเงินที่หายไปเป็นเงินที่ได้นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้วหาก พ.ทำการทุจริตก็คงจะไม่นำเงินที่ตนเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในที่ทำงานเช่นนี้ สำหรับจำเลยนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารงานสาขาโจทก์ที่จังหวัดน่านให้ดำเนินไปด้วยดี โดยจำเลยจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่โจทก์วางไว้อย่างเคร่งครัด การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยไม่เปลี่ยนรหัสประตูห้องมั่นคงและรหัสตู้นิรภัยเมื่อมีการสับเปลี่ยนพนักงานระดับบริหารที่เก็บรักษากุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัย และจำเลยเองก็เป็นผู้เก็บรักษาทั้งกุญแจและรหัสประตูห้องมั่นคงกับตู้นิรภัย ซึ่งจำเลยสามารถเข้าไปเปิดตู้นิรภัยตามลำพังได้ตลอดเวลา เมื่อเงินของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยหายไปก็ไม่สามารถที่จะสอบหาตัวผู้ทุจริตได้เช่นนี้ ถือได้ว่าความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินที่หายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย