พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8099/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุผลคำวินิจฉัยคดีแรงงาน: ศาลแรงงานต้องให้เหตุผลชัดเจนและไม่อาจอุทธรณ์ดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ว่า "คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานให้ทำเป็นหนังสือ และต้องกล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น" กรณีจึงไม่อาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 141มาใช้ในการวินิจฉัยคดีแรงงานอีก
ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดคำเบิกความของ ช.จึงไม่เป็นพิรุธ เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยแล้วเห็นว่าสอดคล้องกันตามลำดับไม่เป็นพิรุธ มีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์ประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้ให้เหตุผลไว้ครบถ้วนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางหยิบยกพยานหลักฐานส่วนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมาวินิจฉัยโดยไม่นำพยานหลักฐานส่วนของโจทก์ที่เป็นประโยชน์มาหักล้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดคำเบิกความของ ช.จึงไม่เป็นพิรุธ เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยแล้วเห็นว่าสอดคล้องกันตามลำดับไม่เป็นพิรุธ มีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์ประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้ให้เหตุผลไว้ครบถ้วนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางหยิบยกพยานหลักฐานส่วนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมาวินิจฉัยโดยไม่นำพยานหลักฐานส่วนของโจทก์ที่เป็นประโยชน์มาหักล้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8099/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีแรงงานและการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลาง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ว่า "คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลแรงงานให้ทำเป็นหนังสือ และต้องกล่าวหรือ แสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี พร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น" กรณีจึงไม่อาจนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 มาใช้ในการ วินิจฉัยคดีแรงงานอีก
ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดคำเบิกความของ ช. จึงไม่เป็นพิรุธ เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยแล้วเห็นว่าสอดคล้องกันตามลำดับไม่เป็นพิรุธมีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์ประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้ให้เหตุผลไว้ครบถ้วนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางหยิบยกพยานหลักฐานส่วนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมาวินิจฉัยโดยไม่นำพยานหลักฐานส่วนของโจทก์ที่เป็นประโยชน์มาหักล้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดคำเบิกความของ ช. จึงไม่เป็นพิรุธ เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยแล้วเห็นว่าสอดคล้องกันตามลำดับไม่เป็นพิรุธมีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์ประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้ให้เหตุผลไว้ครบถ้วนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางหยิบยกพยานหลักฐานส่วนที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยมาวินิจฉัยโดยไม่นำพยานหลักฐานส่วนของโจทก์ที่เป็นประโยชน์มาหักล้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8085/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพลิงไหม้ไร่สับปะรด: พยานหลักฐานไม่ชัดเจน ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์มีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 2 ที่ให้การว่าเห็นไฟเริ่มลุกไหม้กอต้นเบญจมาศและหญ้าในไร่ของจำเลย ต่อมาลุกลามเข้าไปในไร่ของผู้เสียหายที่ 1 คำให้การดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่า ประกอบกับเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะผู้เสียหายด้วย จึงต้องรับฟังอย่างระมัดระวังเพราะจำเลยไม่มีโอกาสที่จะซักค้านพยานดังกล่าวได้ ส่วนคำเบิกความของ ว. ภริยาผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ11 นาฬิกา เห็นจำเลยจุดไฟเผาในไร่ของจำเลยนั้น แม้จะเป็นความจริงตามที่เบิกความแต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 เป็นเวลานานถึงประมาณ 2 ชั่วโมงประกอบกับจุดที่พยานทั้งสองเห็นจำเลยจุดไฟนั้นก็อยู่ด้านทิศใต้ของที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่จุดที่อยู่ใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้เสียหายที่ 1ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจบ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่าไฟที่ไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1นั้น เกิดจากการจุดไฟเผาหญ้าในไร่ของจำเลยแล้วลุกลามเข้าไปในไร่ของผู้เสียหาย นอกจากนี้ผู้เสียหายทั้งสองก็มิได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาจำเลยในทันทีหรือในระยะเวลาอันสมควร ทั้ง ๆ ที่หลังเกิดเหตุเพียงวันเดียวผู้เสียหายที่ 1 ได้ไปพบจำเลยเรียกร้องค่าเสียหาย แต่จำเลยปฏิเสธ การที่ผู้เสียหายทั้งสองเพิ่งจะไปแจ้งความร้องทุกข์หลังจากเกิดเหตุนานถึงประมาณ 20 วันเช่นนี้ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 2 เห็นเหตุการณ์ขณะที่เพลิงไหม้ลุกลามจากไร่ของจำเลยเข้าไปสู่ไร่สับปะรดจริงหรือไม่และผู้เสียหายที่ 1 กับ ว. เห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยจุดไฟเผาหญ้าในไร่ของจำเลยจริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8022/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลายมือชื่อในบันทึกจับกุมและคำให้การ ถือเป็นพยานหลักฐานได้หากปราศจากการบังคับ
บันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การผู้ต้องหา จำเลยได้ลงลายมือชื่อโดยบันทึกดังกล่าวมีข้อความอยู่แล้ว ทั้งไม่ได้เกิดจากการบังคับ ขู่เข็ญทรมาน หรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด จึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้(เหตุเกิดวันที่ 30 มกราคม 2539)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8022/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากการจับกุมและการให้การของผู้ต้องหาที่ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
บันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การผู้ต้องหา จำเลยได้ลงลายมือชื่อโดยบันทึกดังกล่าวมีข้อความอยู่แล้ว ทั้งไม่ได้เกิดจากการบังคับ ขู่เข็ญทรมาน หรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด จึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้และไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 28,243
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796-797/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักไม่พอพิสูจน์การกระทำความผิดร่วมกัน จำเลยที่ 2 พ้นผิด
พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดเมทแอมเฟตามีนจากสายลับและยึดธนบัตรจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับผู้ล่อซื้อ พยานโจทก์มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่มีการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนแต่ที่ทราบว่าจำเลยที่ 2 ร่วมขายด้วยก็เนื่องจากสายลับเป็นผู้บอกโจทก์มิได้นำสายลับมาเบิกความ คำเบิกความของพยานโจทก์จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ประกอบกับคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 2 เป็นพยานบอกเล่าซึ่งไม่มีรายละเอียดใด ๆ ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ให้การว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชวนจำเลยที่ 1 ไปเอาเมทแอมเฟตามีนมาขายเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมีลักษณะเป็นคำซัดทอดในระหว่างผู้ต้องหาด้วยกัน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7908/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาพยานหลักฐาน การรับฟังเอกสารที่ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยนอกประเด็น
ปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาพยานหลักฐานของศาลว่าได้ปฏิบัติเป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246
ตามบัญชีระบุพยานโจทก์ระบุว่า ต้นฉบับเอกสารหมาย จ.9 อยู่ที่ธนาคาร ก. การที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับ มาได้โดยประการอื่น ทั้งจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่าต้นฉบับไม่มีหรือสำเนาไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.9 ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2)
ตามบัญชีระบุพยานโจทก์ระบุว่า ต้นฉบับเอกสารหมาย จ.9 อยู่ที่ธนาคาร ก. การที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับ มาได้โดยประการอื่น ทั้งจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่าต้นฉบับไม่มีหรือสำเนาไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.9 ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 781/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดอาญาแผ่นดินลักทรัพย์-รบกวนวิทยุคมนาคม: อำนาจฟ้องและพยานหลักฐานเพียงพอ
ความผิดในข้อหาลักทรัพย์และข้อหาร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม เป็นคดีอาญาแผ่นดินอันมิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง เมื่อมีความผิดอาญาแผ่นดินเกิดหรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าพนักงานตำรวจที่ต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำผิดอาญาทั้งปวงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18ประกอบมาตรา 121 วรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษกระทำผิดหรือไม่ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนรวมทั้งการที่พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลย จึงเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว
ความผิดทั้งสองฐานตามฟ้องเกิดจากโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยกับพวกนำโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หมายเลขประจำเครื่องมาปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นหมายเลขประจำเครื่องของผู้เสียหายซึ่งได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แม้จำเลยกับพวกจะกระทำการดังกล่าวที่บริษัทของจำเลยแต่ผลของการกระทำก็เกิดขึ้นแก่โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย ทำให้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายถูกรบกวน จึงเป็นความผิดต่อเนื่องที่กระทำต่อเนื่องกันระหว่างท้องที่ที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่กับท้องที่ที่ผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้องซึ่งอยู่ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไทจึงมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนได้กระทำโดยชอบแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โทรศัพท์มือถือที่ ช. ซื้อมาจากบริษัทจำเลยผ่านทาง ม. นั้น เป็นโทรศัพท์ที่คนของบริษัทจำเลยทำการลักลอบปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นช่องสัญญาณโทรศัพท์หมายเลขของผู้เสียหาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรบกวนและขัดขวางการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมพ.ศ. 2498 มาตรา 26 และเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม จำเลยก็ให้การรับสารภาพ จากพยานหลักฐานของโจทก์และพฤติการณ์แห่งคดี แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่หรือถอดรหัสสัญญาณโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย ก็ฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือสมรู้ร่วมคิดกับพวกอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกันประกอบธุรกิจอันไม่ชอบ
ความผิดทั้งสองฐานตามฟ้องเกิดจากโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยกับพวกนำโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หมายเลขประจำเครื่องมาปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นหมายเลขประจำเครื่องของผู้เสียหายซึ่งได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แม้จำเลยกับพวกจะกระทำการดังกล่าวที่บริษัทของจำเลยแต่ผลของการกระทำก็เกิดขึ้นแก่โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย ทำให้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายถูกรบกวน จึงเป็นความผิดต่อเนื่องที่กระทำต่อเนื่องกันระหว่างท้องที่ที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่กับท้องที่ที่ผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้องซึ่งอยู่ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไทจึงมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนได้กระทำโดยชอบแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โทรศัพท์มือถือที่ ช. ซื้อมาจากบริษัทจำเลยผ่านทาง ม. นั้น เป็นโทรศัพท์ที่คนของบริษัทจำเลยทำการลักลอบปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นช่องสัญญาณโทรศัพท์หมายเลขของผู้เสียหาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรบกวนและขัดขวางการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมพ.ศ. 2498 มาตรา 26 และเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม จำเลยก็ให้การรับสารภาพ จากพยานหลักฐานของโจทก์และพฤติการณ์แห่งคดี แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่หรือถอดรหัสสัญญาณโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย ก็ฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือสมรู้ร่วมคิดกับพวกอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกันประกอบธุรกิจอันไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7757/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานในคดีอาญา, การพิสูจน์ความผิด, การไม่โต้แย้งกระบวนการพิจารณา, การปรับแก้โทษ
ป.วิ.อ. มาตรา 241 และมาตรา 242 ไม่มีผลเป็นการบังคับว่าในการพิสูจน์ความผิดของจำเลย โจทก์จะต้องพิสูจน์ด้วยการนำพยานวัตถุมาศาลโจทก์อาจพิสูจน์ความผิดของจำเลยด้วยพยานหลักฐานอื่นที่ไม่ใช่พยานวัตถุได้
โจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลย และจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีน โจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาลอีก
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใด คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะมีผู้พิพากษาเพียงนายเดียวนั่งพิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยชอบหรือไม่ ปรากฎว่าทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยทนายจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งโดยปรับจำเลย 8,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
โจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลย และจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีน โจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาลอีก
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใด คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะมีผู้พิพากษาเพียงนายเดียวนั่งพิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยชอบหรือไม่ ปรากฎว่าทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยทนายจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งโดยปรับจำเลย 8,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7382/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังแผนที่พิพาทเป็นพยานหลักฐาน และข้อจำกัดในการอุทธรณ์คดีข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7450ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนขนย้ายบ้านพิพาทพร้อมทรัพย์สินต่าง ๆ และบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7450 กับชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเดือนละ 380 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทภายใน 7 วัน ต่อมาโจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยได้คำนวณทุนทรัพย์ของที่ดินพิพาทรวมเป็นเงิน 620,000 บาท คำสั่งของศาลชั้นต้นนี้จะชอบหรือไม่ประการใดคู่ความทุกฝ่ายรวมทั้งจำเลยต้องรู้ หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องชอบที่จะยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณามีคำสั่งในเรื่องนี้ใหม่หรือโต้แย้งคัดค้านไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในภายหลังได้ แต่หากไม่ดำเนินการจนเกิดความผิดพลาดขึ้นก็จะกลับมาปฏิเสธเพื่อให้พ้นความรับผิดมิได้
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้โดยอาจเข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ถือเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 และผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจึงไม่อาจรับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้อีก
โจทก์อ้างแผนที่พิพาทซึ่งศาลชั้นต้นสั่งยกเลิกการจัดทำแล้วเป็นเพียงการอ้างเอกสารเป็นพยานเท่านั้น ส่วนศาลจะรับฟังหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล และการอ้างเอกสารเป็นพยานของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือศาลต้องรับรองความถูกต้องเสียก่อน
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้โดยอาจเข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ถือเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 และผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจึงไม่อาจรับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้อีก
โจทก์อ้างแผนที่พิพาทซึ่งศาลชั้นต้นสั่งยกเลิกการจัดทำแล้วเป็นเพียงการอ้างเอกสารเป็นพยานเท่านั้น ส่วนศาลจะรับฟังหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล และการอ้างเอกสารเป็นพยานของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือศาลต้องรับรองความถูกต้องเสียก่อน