พบผลลัพธ์ทั้งหมด 361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332-1335/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือและการพิพากษาลงโทษโดยไม่ลดหย่อนโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่มาปฏิเสธชั้นศาลและอ้างว่าไม่ได้ให้การชั้นสอบสวน เพียงแต่ตำรวจเอากระดาษเปล่ามาให้ลงชื่อเท่านั้น คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นศาลฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับชั้นสอบสวนของจำเลยแล้ว คดีย่อมไม่มีเหตุจะลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของนายวงแชร์ต่อลูกแชร์ และการพิพากษาตามส่วนที่ส่งจริง
โจทก์ฟ้องว่า ส่งเงินค่าแชร์รวม 102,680 บาท แต่นำสืบว่าเมื่อหักดอกเบี้ยจากการเปียแชร์ออกแล้ว คงส่งเงินจริงเพียง 60,000 บาท จะเรียกว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวนเต็มก่อนหักดอกเบี้ย เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ควรได้ตามส่วนของจำนวนเต็มก่อนหักดอกเบี้ย เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ควรได้ตามส่วนของจำนวนเต็มเมื่อหักดอกเบี้ยออกแล้วศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนที่โจทก์ส่งจริงนั้นได้
จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันตั้งวงแชร์ขึ้น แล้วช่วยกันหาผู้เล่นมาร่วมเล่นในวงแชร์ที่ตั้งขึ้นด้วยกันนั้น กรณีเห็นได้ชัดว่า จำเลยที่ 1 กับพวกต่างผูกพันตนที่จะรับผิดร่วมกันต่อผู้เล่นทุกคนในฐานะลูกหนี้ร่วม จะแยกความรับผิดเป็นส่วนหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีข้อสัญญาตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันตั้งวงแชร์ขึ้น แล้วช่วยกันหาผู้เล่นมาร่วมเล่นในวงแชร์ที่ตั้งขึ้นด้วยกันนั้น กรณีเห็นได้ชัดว่า จำเลยที่ 1 กับพวกต่างผูกพันตนที่จะรับผิดร่วมกันต่อผู้เล่นทุกคนในฐานะลูกหนี้ร่วม จะแยกความรับผิดเป็นส่วนหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีข้อสัญญาตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ, ค่าเสียหายรายเดือน, ค่าขึ้นศาล, การพิพากษา
เหตุเกิดเมื่อรถเลี้ยวซ้ายเลยหัวโค้งไปแล้ว 10 เมตรเศษ แม้ไฟหน้ารถจำเลยจะดับ ถ้าจำเลยขับรถไม่เร็วเกินไปแล้วรถก็จะไม่ไถลไปทางขวาจนตกถนนและเกิดการกระทบกระแทกโดยแรง จำเลยมิได้แสดงว่าเหตุที่ไฟหน้ารถดับนั้น เป็นเพราะพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบโดยได้ใช้ความระมัดระวังอันควรคาดหมายได้แล้ว จำเลยจึงไม่มีทางอ้างเอาเหตุที่ไฟหน้ารถดับว่าเป็นเหตุสุดวิสัยได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันฟ้องต่อไปเป็นรายเดือน เดือนละ 3,000 บาทไม่มีกำหนดเวลากี่เดือน และไม่มีกำหนดว่าจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จเพราะมิใช่กรณีดอกเบี้ยค่าเช่า หรือค่าเสียหายระหว่างที่ยังค้างชำระหนี้อยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(3, 4) การที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชำระเป็นจำนวนแน่นอน จำนวนหนึ่งสำหรับทดแทนความเสียหายของโจทก์ในอนาคตดังนี้จะเป็นการเกินคำขอหาได้ไม่ ส่วนที่ว่าโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในคำขอเช่นนี้มาด้วยนั้น เห็นว่าคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตดังที่โจทก์ขอมาเป็นรายเดือนนั้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 4 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าขึ้นศาลในคำขออื่น ๆ ของโจทก์ โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในส่วนนี้มาในศาลชั้นต้น แต่ก็มิใช่ว่าโจทก์ขัดขืนไม่ยอมเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันจะเป็นเหตุให้ศาลไม่รับคำฟ้อง ข้อนี้จึงไม่เป็นข้อที่จำเลยจะอ้างขึ้นให้ศาลฎีกายกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันฟ้องต่อไปเป็นรายเดือน เดือนละ 3,000 บาทไม่มีกำหนดเวลากี่เดือน และไม่มีกำหนดว่าจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จเพราะมิใช่กรณีดอกเบี้ยค่าเช่า หรือค่าเสียหายระหว่างที่ยังค้างชำระหนี้อยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(3, 4) การที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชำระเป็นจำนวนแน่นอน จำนวนหนึ่งสำหรับทดแทนความเสียหายของโจทก์ในอนาคตดังนี้จะเป็นการเกินคำขอหาได้ไม่ ส่วนที่ว่าโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในคำขอเช่นนี้มาด้วยนั้น เห็นว่าคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตดังที่โจทก์ขอมาเป็นรายเดือนนั้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 4 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าขึ้นศาลในคำขออื่น ๆ ของโจทก์ โจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลในส่วนนี้มาในศาลชั้นต้น แต่ก็มิใช่ว่าโจทก์ขัดขืนไม่ยอมเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันจะเป็นเหตุให้ศาลไม่รับคำฟ้อง ข้อนี้จึงไม่เป็นข้อที่จำเลยจะอ้างขึ้นให้ศาลฎีกายกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความบทบัญญัติกฎหมายจราจรในอดีตและการพิพากษาคดีตามกฎหมายที่ใช้ ณ ขณะกระทำผิด
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 10 ซึ่งใช้ในขณะโจทก์หาว่าจำเลยกระทำผิดบัญญัติว่า 'เมื่อรถเดินสวนกันให้หลีกด้านซ้าย และเมื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นให้ขึ้นด้านขวา' การที่จำเลยขับรถล้ำกึ่งกลางถนนออกไปประมาณ 10 เซ็นติเมตรขณะที่รถอีกคันหนึ่งแล่นสวนมา ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ vs. รับของโจร: การพิพากษาที่เปลี่ยนแปลงตามข้อเท็จจริงและการแก้ฟ้อง
คดีลักทรัพย์ การที่โจทก์ขอแก้ชื่อเจ้าทรัพย์ซึ่งเป็นการขอแก้รายละเอียดหากจำเลยไม่หลงต่อสู้แล้ว โจทก์ย่อมแก้ฟ้องได้
กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่อมนาผู้อื่น ซึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายเพราะความยึดถือของเจ้าทรัพย์ยัง ไม่ขาดตอนไป ซึ่งจำเลยควรจะรู้ว่าหากจำเลยไม่พาเอาไปเสียเจ้าของก็ยังติดตามเอาคืนได้ง่ายเมื่อจำเลยเอากระบือนั้นไปจำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ยักยอกเก็บของตกไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหายจำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริตเป็นผิดฐาน รับของโจร ดังนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่ต้องห้าม โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่อมนาผู้อื่น ซึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายเพราะความยึดถือของเจ้าทรัพย์ยัง ไม่ขาดตอนไป ซึ่งจำเลยควรจะรู้ว่าหากจำเลยไม่พาเอาไปเสียเจ้าของก็ยังติดตามเอาคืนได้ง่ายเมื่อจำเลยเอากระบือนั้นไปจำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ยักยอกเก็บของตกไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหายจำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริตเป็นผิดฐาน รับของโจร ดังนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่ต้องห้าม โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตร: การพิพากษาให้บุตรอยู่กับมารดาถือเป็นการให้อำนาจปกครองตามกฎหมาย
การที่ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย (บิดา) และให้เด็กอยู่กับโจทก์ (มารดา) โดยให้จำเลยส่งค่าเลี้ยงดูเด็กจนเด็กอายุครบ 20 ปี ถือได้ว่าศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่แก่มารดา ตามมาตรา 1538(6) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1113/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา ต้องมีข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอต่อการพิพากษา หากไม่ชัดเจนต้องคืนคดีให้พนักงานสอบสวน
ศาลแขวงบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาไว้ว่า จำเลยเข้าไปในเขตอาคารเก็บรักษาทรัพย์สินค้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 ข้อหาเช่นนี้ย่อมหมายรวมทั้งตัวอาคารและเขตของอาคารด้วย ซึ่งไม่ชัดพอที่จะเป็นผิดฐานบุกรุกตามมาตราที่โจทก์ฟ้องได้และจำเลยก็ให้การว่าเข้าไปเดินอยู่ที่ถนนภายในเขตอาคารเก็บสินค้าเท่านั้น ซึ่งแสดงว่าไม่ได้รับเต็มตามข้อหา จึงเป็นเรื่องที่ศาลต้องสั่งคืนผู้ต้องหาให้ผู้ว่าคดีรับไปดำเนินการต่อไปตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาพิพากษาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมสามเหลี่ยมยาวทั้งตัวและด้ามประมาณ 1 คืบ แทงผู้ตายขณะยืนดูรำวง โดยแทงที่ใกล้สบักซ้ายทางเบื้องหลังตรงที่สำคัญ บาดแผลลึกถึง 5 นิ้วฟุต แสดงว่าแทงโดยแรง พฤติการณ์ดั่งนี้ส่อให้เห็นชัดว่าจำเลยตั้งใจแทงโดยมีเจตนาจะฆ่าให้ตาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะจากการพบเห็นภรรยาทำชู้และการต่อสู้ของผู้ตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จำเลยมาพบเห็นภรรยากำลังทำชู้ในห้องครัวชู้หลบหนีไปจำเลยด่าว่าภรรยาและตบตี ภรรยาต่อสู้จำเลยจึงใช้ไม้ฟืนตีภรรยาจนถึงแก่ความตายพฤติการณ์เช่นนี้เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานจำเลย การครอบครองที่ดิน และการพิพากษาคดีที่ดิน
จำเลยมิได้ระบุพยานไว้ จึงขออ้างตนเองเป็นพยาน เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงอนุญาตให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานได้ คำเบิกความเป็นพยานของจำเลยก็ย่อมรับฟังได้