คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องเคลือบคลุม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 411 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการวินิจฉัยฟ้องเคลือบคลุม, อายุความคดีแพ่ง, การฟ้องเรียกทรัพย์คืนหลังมีคำพิพากษาอาญา
กรุงเทพมหานครโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ. 2496 และมีสิทธิทำกิจการเทศพาณิชย์ได้ตามมาตรา 57 ประกอบด้วยมาตรา 55(12) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2511 การที่โจทก์จัดทำกิจการสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) ซึ่งเป็นการค้าขายอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2505 ย่อมถือได้ว่าเป็นการจัดทำกิจการเทศพาณิชย์อย่างหนึ่ง เพราะคำว่า "เทศพาณิชย" หมายความถึงการค้าขายของประเทศของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่น
จำเลยไม่ได้ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด เมื่อจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน พ. รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน พ. ต่อโจทก์ตรงกับที่บรรยายฟ้อง ดังนี้ แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาค้ำประกันบุคคลอื่นไม่ใช่สำเนาค้ำประกัน พ. ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยอาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้
พ.กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์หรือให้ใช้ราคาได้อันเป็นการฟ้องเรียกคืนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และปรากฏว่าการที่ พ. ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก พ. คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันเป็นคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งจะเรียกร้องให้ พ. รับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม มิใช่มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งจำเลยยกข้อต่อสู้ของ พ.ผู้เป็นลูกหนี้ที่มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามมาตรา 694

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าไฟฟ้า-กิจการไฟฟ้าสาธารณูปโภค-ฟ้องเคลือบคลุม: ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องอายุความและรายละเอียดฟ้อง
ฟ้องเรียกเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่ค้างชำระ แม้ไม่บรรยายว่าจำเลยใช้ไฟฟ้าจากเลขวัดหน่วยที่เท่าใดถึงหน่วยที่เท่าใดก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของรัฐและประชาชนดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ.2503 มาตรา 6, 8, 41 หาใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรตามปกติไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นพ่อค้าตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) สิทธิเรียกร้องค่ากระแสไฟฟ้าของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี และโดยที่ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือนมิใช่จำนวนเงินที่ตกลงไว้แน่นอน แม้จะกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลากรณีก็ไม่ต้องด้วยอายุความห้าปีตามมาตรา 166 จึงต้องนำอายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนดสิบปีตามมาตรา 164 มาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดสำคัญ ทำให้จำเลยต่อสู้คดีไม่ได้ ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2514 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2517 อันเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ปีเศษ จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้เบิกเงินจากธนาคารรวมยอดเงิน 1,542,661 บาท 99 สตางค์ โดยไม่ลงรายการจ่ายในบัญชี หรือเมื่อฝากเงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ลงหลักฐานการฝากเงิน และเมื่อจำเลยรับเงินค่าหุ้นก็ไม่นำลงในบัญชี โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดให้ปรากฏเลยว่า ในการเบิกเงินหรือฝากเงินก็ดีจำเลยไม่ลงบัญชีรายการใด เมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใด และในการรับเงินค่าหุ้นก็ดีจำเลยรับจากใคร เมื่อใด ทั้ง ๆ ที่โจทก์อาจกล่าวถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ จึงเป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานทำหลักฐานเท็จและจดข้อความเท็จ ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ.2499 มาตรา 42 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 แต่มาตรา 354 เป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 352, 353 รับโทษหนักขึ้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 352, 353 ข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมฐานทำบัญชีเท็จ – โจทก์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิดให้ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2514 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2517 อันเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ปีเศษ จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้เบิกเงินจากธนาคารรวมยอดเงิน1,542,661 บาท 99 สตางค์ โดยไม่ลงรายการจ่ายในบัญชี หรือเมื่อฝากเงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ลงหลักฐานการฝากเงิน และเมื่อจำเลยรับเงินค่าหุ้นก็ไม่นำลงในบัญชี โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดให้ปรากฏเลยว่า ในการเบิกเงินหรือฝากเงินก็ดี จำเลยไม่ลงบัญชีรายการใดเมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใดและในการรับเงินค่าหุ้นก็ดี จำเลยรับจากใคร เมื่อใดทั้ง ๆ ที่ โจทก์อาจกล่าวถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ จึงเป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานทำหลักฐานเท็จและจดข้อความเท็จ ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ.2499 มาตรา 42 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 แต่ มาตรา 354 เป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 352,353 รับโทษหนักขึ้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 352,353 ข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การต้องชัดเจน: เหตุฟ้องเคลือบคลุม/ใบมอบอำนาจไม่ชอบ ศาลไม่รับวินิจฉัยหากจำเลยไม่แสดงเหตุผล
คำให้การของจำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยจะต้องแสดงเหตุแห่งการที่อ้างว่าเคลือบคลุมนั้นด้วยว่าเคลือบคลุมอย่างไร ตรงไหน การกล่าวอ้างว่าฟ้องเคลือบคลุมลอย ๆ ต้องถือว่าคำให้การของจำเลยไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และจำเลยให้การว่าใบมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการไม่ชอบไว้เลยว่าไม่ชอบเพราะเหตุใดคดีจึงไม่มีประเด็นเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินตามสัญญาประมูลเล่นแชร์ ต้องส่งสัญญาประกอบการฟ้อง หากไม่ส่งถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องเรียกเงินที่ประมูลเล่นแชร์ตามที่ได้ทำสัญญากู้และค้ำประกันให้ไว้ ไม่ได้ส่งสำเนากู้และสัญญาค้ำประกันมากับฟ้อง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาจ้างเหมา, ตัวแทน, ความรับผิดทางสัญญา, การพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คดีฟ้องเรียกให้ชำระค่าก่อสร้าง บรรยายฟ้องเกี่ยวกับงานก่อสร้างเพิ่มเติมแต่เพียงว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 14,600 บาท โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมเมื่อไร เป็นงานอะไร คิดค่าจ้างเพิ่มเป็นเงินเท่าใด และจำเลยชำระแล้วเท่าใด เป็นฟ้องที่มิได้แสดงแจ้งชัดเพื่อมิได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพของข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น ฟ้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาะโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึง่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยทึ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นข้อหาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาจ้างเหมา, ตัวแทน/ตัวการ, ความรับผิดตามสัญญา, การพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คดีฟ้องเรียกให้ชำระค่าก่อสร้าง บรรยายฟ้องเกี่ยวกับงานก่อสร้างเพิ่มเติมแต่เพียงว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 14,600 บาท โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมเมื่อไร เป็นงานอะไรบ้าง คิดค่าจ้างเพิ่มเป็นเงินเท่าใดและจำเลยชำระแล้วเท่าใด เป็นฟ้องที่มิได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น ฟ้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์แต่ตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 เอง ทั้งจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้วจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2905/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาจำเลยอุทธรณ์เรื่องอายุความและฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกา
จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาคงอุทธรณ์แต่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความแล้วเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงจึงชอบแล้ว
ฟ้องที่บรรยายครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว ย่อมไม่เคลือบคลุม
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2517 โจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2518 ยังไม่เกิน 3 เดือนจึงยังไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยฉ้อโกงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2512 แล้ว เป็นการฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน, ความสมบูรณ์ของฟ้อง, แผนที่พิพาท, การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต และค่าเสียหายจากการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เฉพาะภายในเส้นสีแดงประตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ปรากฏว่าตามรูปแผนที่ได้แสดงเขตที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกไว้ 3 ด้าน ด้านเหนือจดถนนสาธารณะ ด้านใต้จดลำน้ำแม่ประจันต์ ด้านตะวันตกจดลำห้วย แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทำให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ในระหว่างการพิจารณาได้มีการทำแผนที่พิพาทใหม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรองความถูกต้อง แต่เป็นผลมาจากการที่จำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแผนที่ใหม่ หากโจทก์จะทำแผนที่ใหม่ก็ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไปเอง ซึ่งเท่ากับจำเลยยินยอมให้โจทก์กระทำไปฝ่ายเดียวได้ แม้แผนที่พิพาทที่ทำมาใหม่ตามที่โจทก์นำชี้จะเหมือนกับแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ ก็เป็นแผนที่พิพาทที่ชอบ และแม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินภายในวงสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ศาลก็มีอำนาจพิพากษาว่า ที่พิพาทในเส้นประสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ หาได้พิพากษาผิดไปจากคำขอท้ายฟ้องแต่ประการใดไม่
เมื่อที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ครอบครอง การที่จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีอำนาจโอนขาย จำเลยร่วมหาได้สิทธิในที่พิพาทไม่ ถึงหากจะซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตก็จะนำมาตรา 1299,1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับมิได้
จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โดยคำแนะนำของทนายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รู้ดีว่าโจทก์ จำเลยที่ 2 กำลังมีเรื่องพิพาทกันอยู่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ แต่ก็ยังแนะนำให้จำเลยร่วมซื้อจากจำเลยที่ 2 เมื่อเป็นเช่นนี้จะฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทของจำเลยร่วมเป็นไปโดยสุจริตหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิห้ามจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้
เมื่อมีการละเมิดย่อมมีความเสียหาย การที่จำเลยที่1 ที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่พิพาทของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายที่ขาดประโยชน์อันควรจะได้รับในที่พิพาท แม้โจทก์จะยังไม่เข้าทำประโยชน์อย่างใดในที่พิพาท ศาลก็ยังกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้
of 42