คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องแย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 754 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6146/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม: การที่ฟ้องแย้งไม่มีข้ออ้างหลักแห่งข้อหาทำให้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์ โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2529 เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่า แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่า สิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้อง จำเลยไม่อาจทราบได้ จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกัน จำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้ง ดังนั้น เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไร เช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ หาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า บิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เมื่อบิดาจำเลยตายสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย จำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้น เป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6146/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม ศาลวินิจฉัยประเด็นสัญญาเช่าและฟ้องแย้งได้ แม้จำเลยอ้างสิทธิจากสัญญาต่างตอบแทน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่1มกราคม2527ถึงวันที่31ธันวาคม2529เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่าแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไรตั้งแต่เมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่าสิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้องจำเลยไม่อาจทราบได้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกันจำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้งดังนั้นเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไรเช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยหาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าบิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเมื่อบิดาจำเลยตามสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยจำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้นเป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6130/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งคดีแพ่งและการแยกข้อพิพาทออกจากคดีเดิม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินตามมูลหนี้ที่โจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและชำระเงินค่าเครื่องจักรแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ปลอมเอกสารดวงตราของโจทก์นำไปจดทะเบียนว่าเครื่องจักรดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2 แล้วนำไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 4 ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และการจำนองเครื่องจักร แล้วให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คืนเครื่องจักรแก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นให้ใช้ราคาพร้อมทั้งชำระค่าเสียหาย การที่จำเลยที่ 2ฟ้องแย้งอ้างว่า โจทก์ทำละเมิดกลั่นแกล้งนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 3 กรรมการของจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องเสียหาย โดยนำเงินไปประกันตัวจำเลยที่ 3 และขาดผลประโยชน์จากทางทำมาหาได้ เสื่อมเสียชื่อเสียงขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย เป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยที่ 2จะต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6130/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินตามูลหนี้ที่โจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและชำระเงินค่าเครื่องจักรแทนจำเลยที่1จำเลยที่1ได้ร่วมกับจำเลยที่2และที่3ปลอมเอกสารดวงตราของโจทก์นำไปจดทะเบียนว่าเครื่องจักรดังกล่าวเป็นของจำเลยที่2แล้วนำไปจำนองไว้แก่จำเลยที่4ขอให้บังคับจำเลยที่2ถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และการจำนองเครื่องจักรแล้วให้จำเลยที่1ถึงที่3คืนเครื่องจักรแก่โจทก์หรือมิฉะนั้นให้ใช้ราคาพร้อมทั้งชำระค่าเสียหายการที่จำเลยที่2ฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์ทำละเมิดกลั่นแกล้งนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่3กรรมการของจำเลยที่2ทำให้จำเลยที่2ต้องเสียหายโดยนำเงินไปประกันตัวจำเลยที่3และขาดผลประโยชน์จากทางทำมาหาได้ เสื่อมเสียชื่อเสียงขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมชอบที่จำเลยที่2จะต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมพิจารณาฟ้องแย้งเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์ในคดีบุกรุกที่ดิน
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปทำรั้วปูนด้านหน้าและรั้วสังกะสีด้านข้างในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ ด้านที่ติดกับจำเลยเป็นเนื้อที่รวม7 ตารางวา ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การปฏิเสธว่า มิได้บุกรุกหรือรุกล้ำ ขอให้ยกฟ้อง คดีจึงมีประเด็นว่า จำเลยบุกรุกดังฟ้องโจทก์หรือไม่ หากฟังไม่ได้ว่าจำเลยบุกรุก ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปโดยไม่ต้องพิจารณาตามฟ้องแย้งของจำเลย การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า เมื่อที่ดินของจำเลยอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์หากจำเลยได้ครอบครองที่ดินของจำเลยต่อเนื่องเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องจำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินของโจทก์ติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วเป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องมีเหตุเชื่อมโยงกับฟ้องเดิม หากไม่มี ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลย ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การปฏิเสธว่า มิได้บุกรุก คดีจึงมีประเด็นว่าจำเลยบุกรุกหรือไม่การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า หากจำเลยได้ครอบครองที่ดินของจำเลยต่อเนื่องเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องก็เป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5773/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: คดีเดิมฟ้องแย้งอยู่ระหว่างพิจารณา ห้ามฟ้องคดีเดียวกันซ้ำ
จำเลยในคดีนี้เคยฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีซึ่งโจทก์ในคดีนี้ได้ให้การและฟ้องแย้งในคดีดังกล่าวแต่ศาลแพ่งธนบุรีเห็นว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ได้มาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อคำฟ้องคดีนี้กับฟ้องแย้งในคดีก่อนเป็นเรื่องเดียวกันและฟ้องแย้งในคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์คำฟ้องในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสองแม้ว่าศาลในคดีก่อนจะยังไม่ได้มีคำสั่งรับฟ้องแย้งก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5773/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: คดีเรื่องเดียวกันระหว่างโจทก์-จำเลย แม้ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง ก็ถือเป็นคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา
เดิมจำเลยในคดีนี้เคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีอ้างว่าจำเลยซื้อบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์โจทก์ขออาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยไม่ประสงค์ให้อาศัยอีกแจ้งให้ออกขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย โจทก์ได้ให้การและฟ้องแย้งว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางโจทก์โอนบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อเป็นการประกันหนี้เงินกู้ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ ศาลแพ่งธนบุรีเห็นว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท โจทก์อุทธรณ์ ขณะที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยและให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทคืนแก่โจทก์โดยอ้างว่าสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทเป็นนิติกรรมอำพราง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง โจทก์ฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา การที่โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันอีกจึงเป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5762/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายสัมพันธ์กับคำฟ้องเดิม การพิจารณาความเสียหายต้องพิจารณาจากหน้าที่ชอบหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์และลงโทษโจทก์โดยมิชอบเพราะโจทก์มิได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจำเลยให้การว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยจำเลยจึงตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์แล้วลงโทษโจทก์เป็นการปฏิบัติโดยชอบและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของโจทก์การพิจารณาว่าจำเลยได้รับความเสียหายตามฟ้องแย้งหรือไม่จำนวนเท่าใดย่อมเป็นผลมาจากการวินิจฉัยประเด็นตามคำฟ้องเดิมที่ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ชอบหรือไม่ถือว่าฟ้องแย้งเป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5007/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากข้อกล่าวหาไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคำฟ้องเดิม
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยคดีมีประเด็นว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายและมีหน้าที่จะต้องชำระค่าซื้อเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์การผลิตซอสน้ำจิ้มไก่และชำระค่าซอสน้ำจิ้มไก่ที่สั่งซื้อจากโจทก์ให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า โจทก์และ ต. ได้ร่วมทุนกับ ค.ในบริษัทจำเลยแล้วโจทก์ลักลอบน้ำเอาซอสน้ำจิ้มไก่ไปขายให้แก่บริษัท ข. ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและโจทก์กับคนของโจทก์ที่เป็นกรรมการของจำเลยได้สั่งให้พนักงานของจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์โดยไม่ชอบ รวมทั้งโจทก์และคนของโจทก์ได้เบิกเงินทดรองจ่ายโดยไม่เป็นความจริงทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายให้จำเลย เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์ผิดสัญญาร่วมลงทุนและละเมิดและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเกิดจากมูลละเมิด ซึ่งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
of 76