พบผลลัพธ์ทั้งหมด 829 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7825/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ค้ำประกันแยกจากลูกหนี้ตามสัญญาจ้าง แม้มีข้อตกลงชำระเงินแทนทันที
จำเลยที่3มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นตามสัญญาจ้างคงเป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้นแม้จะมีข้อกำหนดในหนังสือสัญญาค้ำประกันว่าจำเลยที่3ยอมชำระเงินแทนให้โจทก์ทันทีโดยโจทก์ไม่จำต้องเรียกร้องให้จำเลยที่1ชำระก่อนก็ไม่ทำให้จำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเปลี่ยนฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาจ้างและไม่ทำให้จำเลยที่1กลายเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่3โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่1และที่2รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7823/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ต้องเปิดโอกาสลูกหนี้แสดงความสามารถชำระหนี้
การที่ศาลจะมีคำสั่งหรือพิพากษาให้บุคคลใดล้มละลาย ย่อมกระทบถึงสิทธิและความสามารถตลอดจนสถานะบุคคลและทรัพย์สินของบุคคลนั้นเป็นอเนกประการ ซึ่งยังผลให้บุคคลภายนอกสามารถยกขึ้นอ้างและใช้ยันแก่บุคคลผู้นั้นได้ ฉะนั้น ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 จึงบัญญัติให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 และมาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริงให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ศาลยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องจากค่าจ้างว่าความจากบุคคลตามที่ระบุในหนังสือสัญญาจ้างว่าความรวมประมาณ 2,850,000 บาท และหนังสือรับรองเงินเดือนอีกเดือนละ 28,000บาท กับอ้างพยานบุคคลอีกหลายปากภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะและความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เป็นการไม่ให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบเพื่อพิจารณาความจริงตามเจตนารมณ์แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 กรณีมีเหตุจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยตามบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องจากค่าจ้างว่าความจากบุคคลตามที่ระบุในหนังสือสัญญาจ้างว่าความรวมประมาณ 2,850,000 บาท และหนังสือรับรองเงินเดือนอีกเดือนละ 28,000บาท กับอ้างพยานบุคคลอีกหลายปากภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะและความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เป็นการไม่ให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบเพื่อพิจารณาความจริงตามเจตนารมณ์แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 กรณีมีเหตุจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยตามบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7823/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลาย: ศาลต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
การที่ศาลจะมีคำสั่งหรือพิพากษาให้บุคคลใดล้มละลายย่อมกระทบถึงสิทธิและความสามารถตลอดจนสถานะบุคคลและทรัพย์สินของบุคคลนั้นเป็นเอนกประการซึ่งยังผลให้บุคคลภายนอกสามารถยกขึ้นอ้างและใช้ยันแก่บุคคลผู้นั้นได้ฉะนั้นก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวโจทก์ล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา14จึงบัญญัติให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา9และมาตรา10ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริงให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาดแต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายให้ศาลยกฟ้อง จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องจากค่าจ้างว่าความจากบุคคลตามที่ระบุในหนังสือสัญญาจ้างว่าความรวมประมาณ2,850,000บาทและหนังสือรับรองเงินเดือนอีกเดือนละ28,000บาทกับอ้างพยานบุคคลอีกหลายปากภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะและความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลยแต่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลยแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเป็นการไม่ให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบเพื่อพิจารณาความจริงตามเจตนารมณ์แห่งโจทก์ล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา4กรณีมีเหตุจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยตามบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7648/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการบังคับคดีเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ครบถ้วน แม้โจทก์ยังไม่ได้รับเงิน
จำเลยได้นำเงินตามคำพิพากษาที่ต้องชำระแก่โจทก์ไปวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยได้ชำระค่าธรรมเนียม ถอนการยึดและค่าใช้จ่ายชั้นบังคับคดีครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการบังคับคดีโดยการยึด หรืออายัดและขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลย ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นต่อไป โจทก์ย่อมจะบังคับคดี แก่จำเลยต่อไปไม่ได้ และไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด จึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคท้ายที่ให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ขอเฉลี่ยสวมสิทธิดำเนินการบังคับคดีแทนโจทก์ผู้ยึดต่อไปได้ และการที่โจทก์ยังไม่ได้รับเงินที่จำเลยที่ 1 วางไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ก็มิใช่เป็นเหตุที่จะไม่ถอนการบังคับคดีให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7578/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เงินกู้ช่วงสิทธิแยกต่างหาก: ความรับผิดของลูกหนี้แยกจากกัน, ข้อจำกัดการฎีกา, ศาลแก้ไขพิพากษา
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองแบ่งความรับผิดในหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์รับช่วงสิทธิจากธนาคารมาคนละ 146,455 บาท ความรับผิดของจำเลยทั้งสองที่มีต่อโจทก์จึงสามารถแยกต่างหากจากกันได้ หนี้ดังกล่าวมิใช่หนี้ร่วมการคิดทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงต้องแยกตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นรายบุคคล หาใช่คำนวณรวมกันเป็นรายเดียวเช่นลูกหนี้ร่วมไม่ เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยทั้งสองแยกคำนวณต่างหากจากกันไม่เกินรายละสองแสนบาทแล้ว ก็ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ย่อมไม่ถูกต้อง และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยแล้ว พิพากษาให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246, 247
ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ย่อมไม่ถูกต้อง และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยแล้ว พิพากษาให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246, 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7304/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการบังคับคดีเมื่อลูกหนี้หาประกันมาให้พอใจศาล แม้เป็นการวางตามคำสั่งศาลอุทธรณ์
โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้นและโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ถูกยึดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2)แต่โจทก์ก็ต้องงดการบังคับคดีไว้เพราะจำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ตามมาตรา 231 วรรคสี่ โดยจำเลยได้ทำสัญญาประกันวางหลักประกันเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้ว การวางหลักประกันของจำเลยดังกล่าว แม้จะเป็นการวางตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก็ตามก็ถือได้ว่า จำเลยได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาลสำหรับจำนวนเงินพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีตามมาตรา 295(1) แล้ว จึงมีเหตุให้ถอนการบังคับคดีโดยถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7304/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการบังคับคดีเมื่อลูกหนี้หาประกันมาให้พอชำระหนี้ได้ แม้เป็นตามคำสั่งศาลทุเลาการบังคับ
โจทก์ชนะคดีและได้ขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ถูกยึดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา260((2)แต่ก็ต้องงดการบังคับคดีไว้เพราะจำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา231วรรคสี่และจำเลยได้วางหลักประกันเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้วการวางหลักประกันของจำเลยแม้จะเป็นการวางตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในการทุเลาการบังคับก็ถือได้ว่าจำเลยได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาลสำหรับจำนวนเงินพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีตามมาตรา295(1)แล้วกรณีมีเหตุให้ถอนการบังคับคดีตามมาตรา295(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7294/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้
จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ 650,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์โดยมีใจความสำคัญว่า ผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ดังนี้ จำเลยที่ 2จึงเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ส่วนข้อตกลงอื่น ๆ ที่ระบุว่าเมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้จนครบแล้ว เจ้าหนี้จะดำเนินการถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาให้แก่ลูกหนี้ต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ำประกันและไม่ใช่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องชำระหนี้แทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7294/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันมีผลผูกพัน แม้มีข้อตกลงถอนฟ้องอาญาเพิ่มเติม ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเมื่อลูกหนี้ผิดนัด
จำเลยที่1กู้ยืมเงินโจทก์650,000บาทโดยมีจำเลยที่2ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์โดยมีใจความสำคัญว่าผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนจำเลยที่1แก่โจทก์ถ้าจำเลยที่1ผิดนัดไม่ชำระหนี้ดังนี้จำเลยที่2จึงเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่1ส่วนข้อตกลงอื่นๆที่ระบุว่าเมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้จนครบแล้วเจ้าหนี้จะดำเนินการถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาให้แก่ลูกหนี้ต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ำประกันและไม่ใช่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์จำเลยที่2ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องชำระหนี้แทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6850/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการส่งคำบังคับแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา
การบังคับคดีตามคำพิพากษา โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาในฐานะเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เท่านั้น แม้ผลแห่งคำพิพากษาจะได้วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินเป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา145 วรรคสอง (2) ก็ตาม เมื่อผู้คัดค้านมิใช่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์จึงไม่ชอบที่โจทก์จะขอให้ศาลส่งคำบังคับให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติป.วิ.พ. มาตรา 272 ได้