พบผลลัพธ์ทั้งหมด 228 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทนายความแบบมีเงื่อนไข: ความสมบูรณ์ตามกฎหมาย และขอบเขตการวินิจฉัยของศาล
ทนายทำสัญญากับลูกความว่าความแพ้ไม่เอาเงินค่าจ้างถ้าชนะถึงจะเอาค่าจ้างเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ไม่ขัดต่อศิลธรรมอันดีหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ม.113 และไม่ผิดต่อ พ.ร.บ.ทนายความทั้งไม่มีลักษณคล้ายสัญญาการพะนัน สัญญาที่มีเงื่อนไขโดยอาศัยเหตุการณ์ไม่แน่นอนนั้นหาเป็นสัญญาการพะนันเสมอไปไม่ สัญญาจ้างว่าความเป็นนิติกรรมเกี่ยวกับศีลธรรมอันดี แลความสงบเรียบร้อยของประชาชนได้เพียงไร วิธีพิจารณาความแพ่ง อำนจศาล นิติกรรมที่เป็นปัญหาว่าจะขัดต่อศีลธรรมอันดีหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างความเสียเปล่าศาลก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ว่าจะเป็นการขัดต่อศีลธรรมอันดีหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยคดีโดยไม่ต้องสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงเพียงพอ และขอบเขตการสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา
เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงแห่งคดีพอวินิจฉัยได้แล้วก็ตัดสินได้ทีเดียว ไม่จำเป็นต้องสืบพะยานอีก พะยานการนำสืบฟ้องขอให้ลงโทษฐานบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ทางอาชญาแต่โจทก์ขอสืบในเรื่องสิทธิในทางเดิน ไม่ได้ขอสืบเจตนาหรือความบังอาจอันจะเป็นผิดทางอาชญาศาลไม่จำเป็นต้องให้สืบ่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7807/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีส่วนแพ่งในคดีอาญา ไม่ถือเป็นการรื้อฟ้องเดิม หากศาลวินิจฉัยเฉพาะอำนาจฟ้อง มิได้ตัดสินเนื้อหา
ในคดีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เสียหายผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 5 (2) และ 44/1 ซึ่งถือเป็นคำฟ้องในคดีส่วนแพ่ง แต่ศาลพิพากษายกคำร้องโดยวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่พนักงานอัยการโจทก์บรรยายฟ้องคดีส่วนอาญาว่า ผู้ตายมีส่วนกระทำความผิดขับรถโดยประมาทด้วย ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์เป็นมารดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง ซึ่งเป็นการวินิจฉัยเรื่องอำนาจในการจัดการแทนผู้ตายของโจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โดยศาลยังไม่ได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีตามประเด็นที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีส่วนแพ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ถูกฟ้องในคดีก่อน จึงไม่ได้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ จึงไม่ใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9829/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 เมื่อศาลเคยวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเดียวกันแล้ว
ก่อนจำเลยยื่นคำร้องคดีนี้ จำเลยเคยยื่นคำร้องขอเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โดยข้ออ้างในคำร้องทั้งสองฉบับจำเลยกล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาคดีนี้โดยผิดระเบียบอย่างเดียวกัน แม้คำร้องในคดีนี้ จำเลยจะขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการบังคับคดี ส่วนคำร้องฉบับก่อนดังกล่าว จำเลยขอให้เพิกถอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบ แต่ก็เป็นคำขออันเป็นผลมาจากข้ออ้างในเรื่องเดียวกัน เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นตามคำร้องฉบับก่อนของจำเลย และยกคำร้องของจำเลยแล้วเช่นนี้ การที่จำเลยกลับมาดำเนินกระบวนพิจารณายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้นเป็นคดีนี้อีก จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่โจทก์มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7379/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นนอกประเด็น: ศาลวินิจฉัยความรับผิดนายจ้างเกินขอบเขตที่จำกัดโดยประเด็นชี้สองสถาน
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ผู้ที่กระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ โดยไม่มีคู่ความโต้แย้งในการกำหนดประเด็นดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่าจำเลยในฐานะตัวการต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนกระทำต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7191/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่ง: ศาลต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยต่อสู้ในคำให้การเท่านั้น
ปัญหาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องให้การต่อสู้คดี ทั้งคำให้การในคดีส่วนแพ่งจำเลยทั้งสองต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสองยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ซึ่งตามคำให้การของจำเลยทั้งสองแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 โดยอ้างเหตุว่า จำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้หลังจากผิดนัดชำระค่าเช่าหลายปี เช่นนี้ เป็นกรณีจำเลยทั้งสองให้การว่ารับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (3) ประกอบมาตรา 193/14 (1) และ 193/15 ศาลจึงไม่อาจหยิบยกอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (3) ขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำให้การของจำเลยทั้งสอง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6044/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความประมาทในการขับรถ ศาลวินิจฉัยได้แม้ไม่มีรายละเอียดความเร็ว หากโจทก์นำสืบได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์ถึงบริเวณจุดเลี้ยวกลับรถถนนสาย 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เกิดเหตุ ด้วยความเร็วสูง โดยจำเลยมีความประสงค์ที่ขับรถจักรยานยนต์แล่นผ่านจุดเลี้ยวกลับรถดังกล่าวตรงไปทางด้านถนนบางนา-ตราด และจำเลยมองเห็นอยู่แล้วว่าในขณะนั้นมี ส. กำลังขับรถยนต์เลี้ยวขวากลับรถบริเวณจุดกลับรถเข้าสู่ถนนสาย 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่องเดินรถช่องที่ 2 ซึ่งเป็นช่องเดินรถช่องเดียวกันกับที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมา แต่จำเลยไม่ชะลอความเร็วและไม่หักหลบรถยนต์คันที่ ส. ขับมาเข้าไปในช่องเดินรถช่องที่ 1 เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนบริเวณด้านท้ายรถยนต์ของ ส. อย่างแรง ทำให้รถยนต์ของ ส. ได้รับความเสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยโดยกล่าวถึงคำฟ้องของโจทก์ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูง ไม่ชะลอความเร็ว ด้วยความประมาทของจำเลยจึงเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนบริเวณด้านท้ายรถยนต์ของ ส. แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ย่อมสามารถนำสืบให้เห็นว่าจำเลยขับรถอย่างไร ด้วยอัตราความเร็วเท่าใดจึงเป็นการขับรถโดยประมาท ซึ่งเป็นรายละเอียดปลีกย่อยและศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าการที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรได้ เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้วเห็นว่าคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว ส่วนจำเลยขับรถอย่างไร ด้วยอัตราความเร็วเท่าใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ซึ่งศาลย่อมนำข้อนำสืบดังกล่าวมาวินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลยได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7933-7934/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกตามพินัยกรรม: ศาลต้องวินิจฉัยประเด็นความแท้จริงของพินัยกรรมก่อนพิจารณาผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องที่ 1 ขอจัดการมรดกตามพินัยกรรม ผู้คัดค้านอ้างว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม จึงเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่ รับฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัย เพราะหากฟังได้ว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ผู้ร้องที่ 1 ก็มิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องที่ 1 มีหน้าที่นำสืบ ส่วนผู้คัดค้านย่อมนำสืบหักล้างความมีอยู่ของพินัยกรรม การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านสืบพยาน จึงเป็นการมิชอบ เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15308/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 และผลของการวินิจฉัยถึงที่สุด
คดีเดิมของศาลชั้นต้น เรื่องขอจัดการมรดก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ร. ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องและตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของ ร. เมื่อ ร. ถึงแก่ความตายและมีเหตุขัดข้องในการจัดการทรัพย์มรดก จึงมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ร. คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า ว. ผู้คัดค้านที่ 1 ในคดีดังกล่าวเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์ บิดาของโจทก์และ ว. คือ ม. เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ ร. เจ้ามรดก ร. หย่ากับสามีและไม่มีบุตร ม. ถึงแก่ความตายก่อน ร. ส่วน ธ. บุตรบุญธรรมของ ร. ขอสละมรดก ว. และโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกแทนที่ ม. ทายาทโดยธรรมในลำดับที่ 3 จึงมีสิทธิรับมรดกของ ร. ถือว่า ว. และโจทก์อยู่ในฐานะเดียวกัน เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ในคดีดังกล่าวแล้วว่า ร. ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องและตั้งผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้เป็นผู้จัดการมรดก อันเป็นการวินิจฉัยว่าพินัยกรรมดังกล่าวมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย มิใช่พินัยกรรมปลอมหรือเกิดจากการถูกหลอกลวง การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกโดยอ้างว่า ร. ไม่มีเจตนาทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้จำเลย แต่เกิดจากจำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้ว อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4661/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเรื่องละเมิดจากการปล่อยน้ำเสียกระทบการเกษตร: ศาลวินิจฉัยได้ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความ
ตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยปล่อยน้ำเสียซึ่งเป็นน้ำเค็มออกจากบ่อเลี้ยงกุ้งเพื่อทำการจับกุ้ง ซึ่งน้ำเสียที่ไหลออกมาได้ไหลเข้าในคลองส่งน้ำที่อยู่ติดกับที่นาของโจทก์ ต่อมาน้ำเสียซึ่งเป็นน้ำเค็มที่จำเลยปล่อยออกมาดังกล่าวไหลเข้าไปในที่นาของโจทก์ทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำนาข้าวของโจทก์ มีความหมายชัดแจ้งว่า น้ำที่จำเลยปล่อยออกมาเป็นน้ำที่ไม่ดี เป็นน้ำที่เค็ม ไม่เหมือนน้ำในคลองส่งน้ำตามปกติที่ใช้ทำนาได้ ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าน้ำเสียเพราะมีสิ่งเจือปนที่ทำให้น้ำเค็มผิดปกติมาด้วยแล้ว เมื่อได้ความว่าน้ำจากบ่อเลี้ยงกุ้งของจำเลยที่ไหลเข้าท่วมขังในที่นาของโจทก์มีสิ่งเจือปนที่จำเลยใช้ในการเลี้ยงกุ้งทำให้ดินในที่นาของโจทก์มีความเค็มสูงผิดปกติ ทำให้มีผลกระทบกับการเพาะปลูกและความเจริญเติบโตของต้นข้าวในที่นาของโจทก์ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวได้ หาเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่