คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5576/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ละเมิด: การฟ้องร้องซ้ำในประเด็นเดียวกัน และการกระทำที่มิได้เจตนาทำให้เกิดความเสียหาย
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน เนื่องมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 กรรมการได้มีมติถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวกับการกระทำโดยมิชอบในการถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกภาพนั้น โจทก์ย่อมต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ อันเกิดแก่การที่โจทก์ต้องขาดจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 รวมไปกับการฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมกรรมการของจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน แต่กลับมาเรียกร้องในคดีนี้โดยอาศัยเหตุแห่งการถอดถอนโจทก์ออกจากสมาชิกภาพคราวเดียวกันซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ปัญหานี้แม้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้และไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เมื่อเห็นสมควรเพราะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
สหกรณ์แท็กซี่สยาม จำกัด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 ได้ประชุมคณะกรรมการดำเนินการและมีมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ อ้างว่าโจทก์กระทำการไม่ซื่อตรงหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนมติดังกล่าว และหลังจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนมติกรรมการของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้จดแจ้งโจทก์กลับเข้าเป็นสมาชิกตามเดิม และโจทก์บรรยายในคำฟ้องว่า การที่จำเลยที่ 1 ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ประสงค์ให้โจทก์พ้นจากการเป็นกรรมการดำเนินการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการแกล้งหรือจงใจใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่โจทก์ก็นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จงใจกลั่นแกล้งโจทก์อย่างไร และการที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มาประชุมและลงมติให้ถอดถอนโจทก์ออกจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 ก็เป็นการกระทำหน้าที่ในการประชุมตามปกติ ไม่ได้มีเจตนาหรือจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ แม้ภายหลังศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยที่ 1 หรือทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ก็เป็นเรื่องของดุลยพินิจและความเห็นที่แตกต่างกัน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76 วรรคสอง, 77 และ 812

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5397/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานต้องชัดเจนถึงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีบ้านอยู่ใกล้กัน จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยจำเลยที่ 2 นั่งอยู่ด้วยในขณะที่ อ. เข้ามาพูดคุยกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ย่อมทราบเรื่องดี เมื่อจำเลยที่ 2 รับสิ่งของแล้ว จำเลยที่ 1ก็ขับรถยนต์ออกไป เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ทราบรายละเอียดของการที่ตนขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 มายังสถานที่เกิดเหตุเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เมื่อ อ. นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้จำเลยที่ 2ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการในการรับมอบเมทแอมเฟตามีนนั้นร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนนั้น
สำหรับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นโจทก์มีเพียงคำรับในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับคำรับของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนเท่านั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำการใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งยังไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสองกรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4344/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: พฤติการณ์ของผู้ต้องหาต้องแสดงเจตนาหรือการสนับสนุนการกระทำความผิด
ย. แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดฟันผู้เสียหาย โดยจำเลยแม้จะถือมีดอยู่ในมือก็ไม่ได้ใช้มีดฟันผู้เสียหายด้วย ทั้งการที่ ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด จำเลยมิได้เตรียมมีดติดตัวมาเพื่อใช้เป็นอาวุธ และ ย. ส่งมีดให้จำเลยภายหลังที่จำเลยชก ส. ล้มลงและผู้เสียหายเข้าห้ามแล้วเท่านั้น พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่า จำเลยมิได้ร่วมเป็นตัวการกับ ย. ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย
พยานโจทก์ทั้งสามเป็นประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวหรือหลายกรรม? ปลอมเอกสารราชการต่างประเภท เจตนาต่างกัน ถือเป็นความผิดคนละกรรม
แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์และใบอนุญาตขับรถยนต์เป็นเอกสารคนละประเภทกัน การใช้และอ้างซึ่งเอกสารดังกล่าวต่างมีเจตนาก่อให้เกิดผลที่แตกต่างกันกล่าวคือ การใช้หรืออ้างแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ปลอมนั้นเพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่ารถยนต์คันที่จำเลยขับเสียภาษีถูกต้อง ส่วนการใช้หรืออ้างใบอนุญาตขับรถยนต์ปลอมก็เพื่อให้เจ้าพนักงานเห็นว่าจำเลยมีความสามารถขับรถยนต์ได้ซึ่งทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้แก่จำเลยแล้ว แม้จำเลยใช้เอกสารดังกล่าวพร้อมกันในวันเดียวกันก็ตามการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดคนละกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
การที่จำเลยปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์แล้วนำไปติดไว้ที่รถยนต์คันเกิดเหตุนั้น เป็นการกระทำที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือในการที่จะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและยังเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีรถยนต์ให้แก่รัฐ นอกจากนี้จำเลยยังปลอมใบอนุญาตขับรถยนต์ของจำเลยหลังจากจำเลยขับรถไปเฉี่ยวชนรถยนต์ของผู้อื่นแล้วหลบหนีเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจเห็นว่าจำเลยเป็นบุคคลอื่น และจำเลยมีความสามารถขับรถยนต์ได้ซึ่งทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้ นับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย และส่อแสดงถึงพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตของจำเลยที่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าร้ายแรง สมควรลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2997-2998/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลอกลวงค้าประเวณีเป็นกรรมต่างกัน ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
การที่จำเลยมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายแต่ละบุคคลไปทำงานค้าประเวณี เป็นเจตนาที่กระทำต่อแต่ละบุคคลไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันเจตนาใช้กำลังประทุษร้าย ไม่สามารถรับฟังจากคำรับของจำเลยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้อาวุธมีดปลายแหลมขู่เข็ญ ผู้เสียหายว่าทันใดนั้นจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายหากผู้เสียหายขัดขืน แสดงว่าจำเลยมีอาวุธมีดและยังไม่ได้แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้น ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ถูกของแหลมยาวประมาณ 6 ถึง 7 นิ้ว ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใด ทิ่มแทงที่ชายโครง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏบาดแผลและอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเป็นของกลาง จึงรับฟังไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริง รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย ลำพังแต่คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ย่อมไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้ ส่วนที่จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้หยิบไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าเข้าใกล้จำเลย เท่ากับเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่ข้อเท็จจริง ที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ คำเบิกความของจำเลยมิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน, การปรับบทลงโทษเกินคำขอ, และการรอการลงโทษในคดีป่าไม้
แม้จำเลยตั้งใจเข้าไปเก็บเอาไม้กฤษณาเพื่อนำออกไปขายหาเลี้ยงชีพ แต่ก่อนที่จำเลยจะได้ไม้กฤษณามาเพื่อนำออกไปขาย จำเลยได้ตัดโค่นต้นไม้กฤษณาและเซาะต้นไม้กฤษณาเป็นชิ้นแล้วรวบรวมไว้ซึ่งเป็นเจตนาและการกระทำต่างหากจากการครอบครองเพื่อนำออกไปขาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คดีขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาว่าโทษที่ศาลล่างลงแก่จำเลยเหมาะสมหรือไม่ แต่ต้องไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้หวงห้าม และมิได้ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11 , 73 การที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11 และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอและที่มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน การรอการลงโทษ และการแก้ไขคำพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยตั้งใจที่จะเข้าไปเก็บเอาไม้กฤษณาเพื่อนำออกไปขายหาเลี้ยงชีพ แต่ก่อนที่จำเลยจะได้ไม้กฤษณามาเพื่อนำออกไปขายจำเลยได้ตัดโค่นต้นไม้กฤษณาและเซาะต้นไม้กฤษณาเป็นชิ้นแล้วรวบรวมไว้ ซึ่งเป็นเจตนาและการกระทำต่างหากจากการครอบครองเพื่อนำออกไปขาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเนื่องจากเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาว่าโทษที่ศาลล่างทั้งสองลงแก่จำเลยนั้นเหมาะสมหรือไม่ แต่ต้องไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลดเบี้ยปรับภาษีอากร แม้ไม่ตรงตามระเบียบ หากผู้เสียภาษีไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยง
ศาลภาษีอากรกลางให้เหตุผลในการลดเบี้ยปรับว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษีและให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดี หาใช่เพราะโจทก์ให้ความร่วมมือแก่ศาลในการพิจารณาคดีแต่เพียงประการเดียว แม้โจทก์จะมิได้นำพยานมาสืบในประเด็นนี้ก็ตาม แต่ศาลภาษีอากรก็มีอำนาจนำข้อเท็จจริงจากเอกสารของจำเลยในสำนวนคือรายงานการพิจารณาอุทธรณ์ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี2536 ถึง 2539 รายของโจทก์ ที่เจ้าพนักงานของจำเลยให้ความเห็นในประเด็นที่โจทก์ของดหรือลดเบี้ยปรับว่า พฤติการณ์ของโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี แต่เกิดจากความสำคัญผิดและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในข้อกฎหมายมาประกอบดุลพินิจในการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับด้วย
แม้ประมวลรัษฎากร มาตรา 27 ทวิ จะให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรวางระเบียบในการงดหรือลดเบี้ยปรับออกมาใช้ แต่ก็เป็นเพียงระเบียบที่เจ้าพนักงานประเมินจะต้องถือปฏิบัติไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องปฏิบัติตามระเบียบเช่นว่านั้น ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีที่มีเหตุอันสมควรอีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2499/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานต้องมีเจตนาและรู้ว่าเป็นเจ้าพนักงาน การถามติงพยานต้องสอดคล้องกับคำถามค้าน
ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานที่ตอบโจทก์ถามติงซึ่งไม่ปรากฏในชั้นที่พยานเบิกความตอบคำถามค้าน จะนำมาเป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ไม่ได้ เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 118 ซึ่งต้องนำมาใช้กับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 บัญญัติว่าในการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานจะถามติงพยาน ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายนั้นใช้คำถามอื่นใดนอกจากคำถามที่เกี่ยวกับคำพยานเบิกความตอบคำถามค้า
of 408