คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เช่าซื้อ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 746 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9052/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดรถเช่าซื้อของผู้ให้เช่าซื้อโดยไม่สุจริตและข้อจำกัดในการฎีกา
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า การที่ผู้ร้องติดตามรถจักรยานยนต์คืนเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายนั้น ผู้ร้องเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามสัญญาเช่าซื้อได้ระบุว่า หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์ที่เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อยินยอมรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ยังคงค้างชำระอยู่ทั้งสิ้นหากปรากฏว่าทรัพย์ที่เช่าซื้อชำรุดเสียหายหรือบุบสลาย ผู้เช่าซื้อยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและกลับเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ที่เช่าซื้อ เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อต่อไป ผู้ร้องเพิ่งได้มอบอำนาจให้ จ.ติดตามยึดรถจักรยานยนต์คืนหลังจากรถจักรยานยนต์ถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้แล้วถึง 4 เดือนเศษ และหลังจากผู้เช่าซื้อขาดส่งค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 8 เดือนเศษ โดยไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก่อนนอกจากนี้หากผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระครบถ้วน ผู้ร้องก็ยินยอมให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวต่อไป จึงแสดงว่าผู้ร้องไม่มีความประสงค์จะยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อแต่ประการใด พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียวผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9052/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอคืนทรัพย์เช่าซื้อ: การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าซื้อและการบอกเลิกสัญญา
ที่ผู้ร้องฎีกาว่าการที่ผู้ร้องติดตามรถจักรยานยนต์คืนเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายนั้นผู้ร้องเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195ประกอบด้วยมาตรา225ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามสัญญาเช่าซื้อได้ระบุว่าหากเกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์ที่เช่าซื้อผู้เช่าซื้อยินยอมรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ยังคงค้างชำระอยู่ทั้งสิ้นหากปรากฏว่าทรัพย์ที่เช่าซื้อชำรุดเสียหายหรือบุบสลายผู้เช่าซื้อยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้นถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่างวดใดงวดหนึ่งผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและกลับเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ที่เช่าซื้อเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อต่อไปผู้ร้องเพิ่งได้มอบอำนาจให้จ. ติดตามยึดรถจักรยานยนต์คืนหลังจากรถจักรยานยนต์ถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้แล้วถึง4เดือนเศษและหลังจากผู้เช่าซื้อขาดส่งค่าเช่าซื้อเป็นเวลา8เดือนเศษโดยไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก่อนนอกจากนี้หากผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระครบถ้วนผู้ร้องก็ยินยอมให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวต่อไปจึงแสดงว่าผู้ร้องไม่มีความประสงค์จะยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อแต่ประการใดพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียวผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8365/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเลิกแล้ว: สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย, ค่าขาดประโยชน์, และอายุความของหนี้
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 391 และมาตรา 392 บัญญัติว่า การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา369 กล่าวคือให้นำมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ ดังนี้โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยผู้เช่าซื้อชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ได้ เมื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังครอบครองทรัพย์ของโจทก์อยู่ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ และค่าเสียหายเช่นนี้ศาลอาจกำหนดตามที่เห็นสมควรได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142
การที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อจนโจทก์บอกเลิกสัญญา แต่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถยนต์ดังกล่าวออกให้เช่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความสิบปีตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30
ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องขอให้ชำระราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อจนครบตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งกำหนดว่า "ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาตามข้อ 7 ข้างต้น หรือเจ้าของบอกเลิกสัญญานี้และกลับเข้าครอบครองรถยนต์ตามข้อ 5 ของสัญญานี้ เงินทั้งปวงที่ผู้เช่าได้ชำระให้แก่เจ้าของก่อนหน้านั้นให้คงเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ และผู้เช่าจะต้องจ่ายค่าซ่อมรถยนต์พร้อมทั้งค่าอุปกรณ์และอะไหล่ทั้งปวงเพื่อซ่อมรถยนต์ให้กลับคืนสู่สภาพดีตามที่เจ้าของประมาณราคาขึ้นโดยทันที และจะชดใช้ค่าเสื่อมราคาและค่าเสียหายนอกเหนือจากค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระอยู่แล้ว ตลอดทั้งเงินจำนวนอื่นใดที่จะต้องจ่ายตามสัญญานี้ กับถ้าหากในขณะบอกเลิกการเช่านั้น ผู้เช่าได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อและรวมกับเงินชำระครั้งแรกรวมกันไม่ถึงครึ่งหนึ่งของราคาเช่าซื้อที่ระบุในบัญชีรายการท้ายสัญญา ผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่จ่ายเป็นค่าเช่าซื้อรวมทั้งเงินที่ชำระครั้งแรกแล้วจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของราคาเช่าซื้อที่ระบุในบัญชีรายการท้ายสัญญา..." ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ใช้บังคับได้ โดยมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ และในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความสิบปีตาม ป.พ.พ.มาตรา 190/30มิใช่อายุความหกเดือนตาม ป.พ.พ.มาตรา 563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8365/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องราคาทรัพย์สินเช่าซื้อ และค่าเสียหายจากการผิดสัญญาเช่าซื้อ
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 และมาตรา 392 บัญญัติว่า การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 กล่าวคือให้นำมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ ดังนี้โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยผู้เช่าซื้อชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ได้ เมื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังครอบครองทรัพย์ของโจทก์อยู่ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ และค่าเสียหายเช่นนี้ศาลอาจกำหนดตามที่เห็นสมควรได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 การที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อจนโจทก์บอกเลิกสัญญา แต่จำเลยที่ 1ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถยนต์ดังกล่าวออกให้เช่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องขอให้ชำระราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อจนครบตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งกำหนดว่า "ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา ตามข้อ 7 ข้างต้น หรือเจ้าของบอกเลิกสัญญานี้และกลับเข้าครอบครองรถยนต์ตามข้อ 5 ของสัญญานี้ เงินทั้งปวงที่ผู้เช่าได้ชำระให้แก่เจ้าของก่อนหน้านั้นให้คงเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ และผู้เช่าจะต้องจ่ายค่าซ่อมรถยนต์พร้อมทั้งค่าอุปกรณ์และอะไหล่ทั้งปวงเพื่อซ่อมรถยนต์ให้กลับคืนสู่สภาพดีตามที่เจ้าของประมาณราคาขึ้นโดยทันที และจะชดใช้ค่าเสื่อมราคาและค่าเสียหายนอกเหนือจากค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระอยู่แล้ว ตลอดทั้งเงินจำนวนอื่นใดที่จะต้องจ่ายตามสัญญานี้ กับถ้าหากในขณะบอกเลิกการเช่านั้น ผู้เช่าได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อและรวมกับเงินชำระครั้งแรกรวมกันไม่ถึงครึ่งหนึ่งของราคาเช่าซื้อที่ระบุในบัญชีรายการท้ายสัญญา ผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่จ่ายเป็นค่าเช่าซื้อรวมทั้งเงินที่ชำระครั้งแรกแล้วจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของราคาเช่าซื้อที่ระบุในบัญชีรายการท้ายสัญญา"ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ใช้บังคับได้ โดยมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ และในกรณีฟ้องร้องเรียกราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 190/30 มิใช่อายุความหกเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8173/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในรถยนต์เช่าซื้อและการประกันภัย: ผู้เช่าซื้อยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญา แม้จะขายต่อ
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท ง. โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่รถยนต์คันที่เช่าซื้อ และเมื่อได้ใช้เงินครบถ้วนแล้วรถยนต์นั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ หรือหากเลิกสัญญาเช่าซื้อกันโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้ผู้เช่าซื้อในสภาพเดิม โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เช่าซื้อมา แม้ในระหว่างที่โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้ออยู่นั้นโจทก์ได้ขายและส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อมาให้แก่ ส.โดยมีข้อตกลงให้ ส.ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือแทนโจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นการโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่ ส. แต่บริษัท ง.ผู้ให้เช่าซื้อก็มิได้ตกลงด้วย โจทก์จึงยังคงเป็นผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับบริษัท ง.ผู้ให้เช่าซื้ออยู่ และยังคงมีความผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อในฐานะที่เป็นผู้เช่าซื้อมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดในรถยนต์คันที่เช่าซื้อต่อบริษัท ง.ตามสัญญาเช่าซื้อและตามกฎหมายลักษณะเช่าซื้อ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เช่าซื้อซึ่งเอาประกันวินาศภัยไว้แก่จำเลย สัญญาประกันภัยย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 863

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8173/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าซื้อมีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัย แม้ขายต่อให้ผู้อื่น แต่ยังผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัทง. โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่รถยนต์คันที่เช่าซื้อ และเมื่อได้ใช้เงินครบถ้วนแล้วรถยนต์นั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ หรือหากเกิดสัญญาเช่าซื้อกันโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้ผู้เช่าซื้อในสภาพเดิมโจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เช่าซื้อมา แม้ในระหว่างที่โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้ออยู่นั้นโจทก์ได้ขายและส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อมาให้แก่ ส. โดยมีข้อตกลงให้ส. ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือแทนโจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นการโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่ ส.แต่บริษัท ง. ผู้ให้เช่าซื้อก็มิได้ตกลงด้วย โจทก์จึงยังคงเป็นผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับบริษัทง.ผู้ให้เช่าซื้ออยู่ และยังคงเป็นความผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อในฐานะที่เป็นผู้เช่าซื้อมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดในรถยนต์คันที่เช่าซื้อต่อบริษัทง. ตามสัญญาเช่าซื้อและตามกฎหมายลักษณะเช่าซื้อ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เช่าซื้อซึ่งเอาประกันวินาศภัยไว้แก่จำเลยสัญญา ประกันภัยย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7691/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อรถยนต์ถูกใช้กระทำผิดและเจ้าของกรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือ
เดิมผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันของกลางได้ให้ส.เช่าซื้อต่อมาส.ผิดสัญญาผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแต่ยังไม่ได้รับรถยนต์คืนในระหว่างนั้นจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของส. นำรถยนต์ไปกระทำความผิดจึงถูกจับดำเนินคดีแต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่ริบรถยนต์คันของกลางผู้ร้องได้รับรถยนต์คืนจากส. แล้วนำไปขายให้ว. ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ริบรถยนต์คันของกลางผู้ร้องจึงมาร้องขอคืนรถยนต์คันของกลางดังนี้ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางดังนี้ขณะที่ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางผู้ร้องได้ขายรถยนต์ให้แก่ว.ไปแล้วผู้ร้องจึงมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์คันของกลางในขณะที่ยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา36ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์คันของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7642/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเรียกร้องค่าเสียหายจากประกันภัยและการขอให้ผู้รับประกันภัยเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีเช่าซื้อ
จำเลยที่1ทำสัญญาเช่าซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปจากโจทก์มีจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันและมีจำเลยร่วมเป็นผู้ประกันภัยทรัพย์ที่เช่าซื้อต่อมาในระหว่างเช่าซื้อและภายในอายุสัญญาประกันภัยทรัพย์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปโจทก์ได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามกรมธรรม์แล้วการที่โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งๆที่โจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์มีสิทธิฟ้องจำเลยร่วมให้รับผิดต่อโจทก์ได้เต็มตามจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งหากจำเลยทั้งสองต้องชำระราคาแทนให้โจทก์จำเลยที่1ในฐานะเป็นผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยฟ้องเรียกค่าทดแทนสำหรับความเสียหายของโทรศัพท์ดังกล่าวจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยได้ดังนั้นจำเลยที่1จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7639/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการเช่าซื้อผิดสัญญา: ดุลพินิจศาลและเบี้ยปรับล่วงหน้า
การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเวลา 1 ปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนนั้น การกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดได้ เพราะมิฉะนั้นค่าขาดประโยชน์อาจเกินราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ ประกอบกับต้องคำนึงว่าการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อจะใช้ไปได้นานอีกเท่าไร จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอ
ข้อความในสัญญาเช่าซื้อข้อ 8 ที่ระบุว่า ในกรณีที่สัญญานี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือเพราะประพฤติผิดสัญญาเช่าซื้อข้อใดก็ดี ผู้เช่าซื้อจำต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมด ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าอันเป็นการกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตามป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคแรก แต่มาตราดังกล่าวมิใช่กฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อกำหนดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 8มิได้เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7639/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: ศาลมีดุลยพินิจกำหนดค่าขาดประโยชน์และปรับลดค่าเสียหายตามสัญญาได้
การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเวลา1ปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนนั้นการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดได้เพราะมิฉะนั้นค่าขาดประโยชน์อาจเกินราคารถยนต์ที่เช่าซื้อประกอบกับต้องคำนึงว่าการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อจะใช้ไปได้นานอีกเท่าไรจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอ ข้อความในสัญญาเช่าซื้อข้อ8ที่ระบุว่าในกรณีที่สัญญานี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือเพราะประพฤติผิดสัญญาเช่าซื้อข้อใดก็ดีผู้เช่าซื้อจำต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมดข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าอันเป็นการกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา574วรรคแรกแต่มาตราดังกล่าวมิใช่กฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและข้อกำหนดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ8มิได้เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงใช้บังคับได้
of 75