พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3162/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับแก้บทลงโทษในคดีอาญาและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268 ลงโทษตามมาตรา 268 กระทงเดียวให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 265, 268 และเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่เป็นผิดตามมาตรา 264 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสองแต่กระทงเดียว จำคุก 1 ปี ดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่ปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำไม้และมีไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวน การแก้ไขโทษที่ศาลชั้นต้นลงต่ำกว่าอัตรากฎหมายกำหนด
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง วินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยโดยไม่ปรากฏเหตุผลจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำไม้และมีไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวน การแก้ไขโทษที่ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด เป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยโดยไม่ปรากฏเหตุผลจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2816/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษโดยไม่รอการลงโทษ และการรับสารภาพขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ฎีกา
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับ 2,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน สถานเดียวโดยไม่รอการลงโทษจำคุกแม้เป็นการแก้ไขมากก็ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 เมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ ข้อเท็จจริงต้องฟังตามที่โจทก์บรรยายฟ้องจำเลยฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นเพียงลูกค้าผู้เล่นเท่านั้น ดังนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลย และเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่างทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว และขอบเขตการแก้ไขโทษที่ไม่เกิน 5 ปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 72 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา75 และลดโทษให้ตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำคุก 2 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193-194/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลไม่อาจแก้ไขได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว และไม่ปรากฏว่ามีการเขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด จำเลยจะร้องขอให้แก้ไขคำพิพากษานั้นหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษไม่ครบถ้วนตามจำนวนกรรมที่ฟ้อง และการแก้ไขโทษที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยต่างกรรมต่างวาระ รวม 63 กรรม จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย เพียง 62 กรรม โดยไม่ปรากฏว่าได้ยกฟ้องจึงไม่ถูกต้องแม้อุทธรณ์ โจทก์จะมิได้ระบุมาว่า ศาลชั้นต้นลงโทษกรรมใด และมิได้ลงโทษ กรรมใดมาให้ชัดแจ้ง แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าขอให้ลงโทษในกรรม ที่ขาดไป ซึ่งเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ลงโทษในกรรมสุดท้ายเพราะนับขาดไปอุทธรณ์ โจทก์จึงสมบูรณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยโดยไม่แยกว่า การกระทำกรรมใดเป็นความผิดตามมาตราใดให้ชัดเจน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดแต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องฎีกาของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1315/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงและการแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นกักขัง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 20 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษกักขัง 20 วัน แทนโทษจำคุก เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาดุลพินิจในการวางโทษจำเลยขอศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5595/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางต้องมีการขอในฟ้อง และการแก้ไขโทษฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธ
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีและพาอาวุธปืนไม่มีทะเบียนกับกระสุนปืนของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อโจทก์มิได้ขอให้ศาลสั่งริบของกลางดังกล่าวมาในฟ้อง ศาลย่อมริบของกลางนั้นไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และแก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 6 เดือนและจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยรวม 38 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานนี้ รวม 34 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ส่วนความผิดที่เหลือ 4 กระทงวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้ว เช่นนี้ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 สำหรับความผิด ฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทง ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน