คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลเพิกถอนโฉนดคืนสิทธิผู้ครอบครองเดิม
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องฟ้องโจทก์ขาดสิทธิเอาคืนซึ่งการครอบครองไว้เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375อันเป็นบทบัญญัติในเรื่องระยะเวลาในการใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแม้โจทก์จะอ้างว่ากรณีเป็นเรื่องการเรียกทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ก็เป็นการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนซึ่งสิทธิครอบครองซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ4ลักษณะ3และประเด็นดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้มิได้กำหนดประเด็นไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5) เมื่อที่ดินของจำเลยที่6มีการออกโฉนดซึ่งที่ดินทั้งแปลงแล้วน.ส.3ของที่ดินแปลงนั้นย่อมเป็นอันยกเลิกไปโฉนดที่ดินเลขที่13130ซึ่งจำเลยที่6รังวัดออกมาจากที่ดินน.ส.3ดังกล่าวนั้นอีกจึงเป็นโฉนดที่ดินที่ออกมาโดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา61 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสามเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาการที่จำเลยที่6ขอออกโฉนดที่ดินเลขที่13130ทับที่ดินน.ส.3ของโจทก์ทั้งสามและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์สืบต่อกันมาจนถึงจำเลยที่4โดยมิได้เข้าครอบครองที่พิพาทกรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้จะเกิน1ปีนับแต่วันที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การย้ายสำนักงานทนายก่อนส่งหมายนัดฟังคำพิพากษา ทำให้การส่งหมายไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทนายจำเลยได้ย้ายสำนักงานไปจากที่เดิมก่อนวันที่พนักงานเดินหมายนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปปิด การปิดหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 79ดังนั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายจำเลย ตลอดจนการจดรายงานการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่ศาลจะเพิกถอนเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา27 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3219/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลังย้ายสำนักงานทนาย และผลต่อการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่2ตุลาคม2533ไม่ปรากฎว่ามีคู่ความฝ่ายใดฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีจึงยังไม่ได้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังใหม่ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ในวันที่26พฤษภาคม2535ซึ่งโจทก์ได้ยื่นฎีกาวันที่15มิถุนายน2535คำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่26พฤษภาคม2535จึงเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาและเป็นคำสั่งตามคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนเสร็จแล้วจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาที่คู่ความจะต้องโต้แย้งไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปแต่อย่างใด ขณะส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์โดยวิธีปิดหมายนัดสำนักงานทนายความของทนายโจทก์ย้ายไปแล้วการปิดหมายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2730/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องทุกข์ในคดีฉ้อโกงต้องมีลายมือชื่อผู้เสียหายแต่ละคน การสอบสวนผู้ที่ไม่ได้ลงชื่อถือว่าไม่ชอบ
คดีฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดต่ออันยอมความได้นั้นแม้ว่าหนังสือร้องทุกข์จะมีข้อความว่า"จึงได้ร่วมกันมาแจ้งความร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี"และผู้เสียหายที่มิได้ลงชื่อในหนังสือร้องทุกข์ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่าถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงให้หลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไปก็ตามเมื่อปรากฏว่าหนังสือร้องทุกข์นั้นคงมีแต่ลายมือชื่อของบ.เท่านั้นจะฟังว่าผู้เสียหายอื่นร้องทุกข์ด้วยไม่ได้การสอบสวนต่อมาสำหรับผู้เสียหายที่มิได้ร้องทุกข์จึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตร2(7),123วรรคสามและ121วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยทราบถึงการฟ้องคดีแล้ว
การสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งได้ตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 คดีนี้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โดยการปิดหมายเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2534 และให้แก่จำเลยที่ 2 โดย น.รับแทนเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 แต่ปรากฏว่าวันที่17 กรกฎาคม 2534 จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำให้การ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ทราบว่าตนถูกฟ้องตั้งแต่วันดังกล่าว และต่อมาก็ได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยการชี้สองสถานสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งสองและมีคำพิพากษาจนพ้นอายุอุทธรณ์ไปแล้ว จำเลยที่ 2จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ร่วมที่ดินมรดก: การโอนขายโดยผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียวไม่ชอบ ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์เฉพาะส่วน
ที่ดินและตึกแถวพิพาทจำเลยได้มาขณะจำเลยเป็นสามี ส.แม้จะมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินและตึกแถวพิพาทก็เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและ ส.คนละครึ่งในฐานะเป็นหุ้นส่วนกันเมื่อส.ถึงแก่ความตายที่ดินและตึกแถวพิพาท ส่วนของ ส. จึงเป็นมรดกตกทอดแก่ ร.ซึ่งเป็นทายาทการที่ร. จดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นของตนแต่ผู้เดียวจึงไม่ชอบและไม่มีอำนาจนำที่ดินและตึกแถวพิพาทส่วนของจำเลยไปขายให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่ยินยอมโจทก์ผู้ซื้อจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินและตึกแถว: การโอนขายโดยผู้จัดการมรดกที่ไม่ชอบ ศาลยกฟ้อง
ที่ดินและตึกแถวพิพาทจำเลยได้มาขณะจำเลยเป็นสามี ส.แม้จะมิได้จดทะเบียนสมรสกันที่ดินและตึกแถวพิพาทก็เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและ ส. คนละครึ่งในฐานะเป็นหุ้นส่วนกันเมื่อ ส.ถึงแก่ความตายที่ดินและตึกแถวพิพาทส่วนของ ส. จึงเป็นมรดกตกทอดแก่ ร. ซึ่งเป็นทายาทการที่ ร. จดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นของตนแต่ผู้เดียวจึงไม่ชอบและไม่มีอำนาจนำที่ดินและตึกแถวพิพาทส่วนของจำเลยไปขายให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่ยินยอมโจทก์ผู้ซื้อจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท: การได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อผู้รับโอน
ห. เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งว่าได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1คดีถึงที่สุด คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีที่มีผลเป็นอย่างเดียวกับคำพิพากษาและเป็นคดีฝ่ายเดียวโจทก์ในฐานะทายาทของ ห. มิได้เป็นคู่ความในคดีนั้น จึงเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่จำเลยที่ 1โอนที่ดินพิพาทที่ตนไม่มีกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ขึ้นมาเป็นของจำเลยที่ 2 ผู้รับโอน แม้จำเลยที่ 2จะเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ตามจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามกฎหมายอันจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของ ห. ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2259/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากโจทก์มิได้ใช้สิทธิซื้อภายในกำหนด
ฟ้องโจทก์เป็นการร้องขอต่อศาลให้บังคับกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของ คชก. ตำบลหรือ คชก.จังหวัด ซึ่งพ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการใน ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลม และตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น เมื่อ พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 54วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้เช่านาต้องใช้สิทธิซื้อนาพิพาทภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้ หรือภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่ผู้ให้เช่านาโอนมานั้นแต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยที่ 1 โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 27สิงหาคม 2528 และโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องเมื่อประมาณเดือนมกราคม 2532หลังจากนั้นจึงดำเนินการยื่นเรื่องราวต่อ คชก.ตำบล เพื่อวินิจฉัยข้อพิพาท เมื่อวันที่19 มกราคม 2532 ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิซื้อนาภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบแม้จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล เกินกำหนดเวลาตามมาตรา 56 และจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ศาลก็ต้องปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของ คชก.ตำบลตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ประกอบพ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 24 ดังกล่าวและเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ได้กล่าวแก้ในคำแก้ฎีกาด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2221/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยของบุตรผู้เกิดจากบิดามารดาต่างด้าวที่เข้ามาในไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้โจทก์ทั้งสิบสองจะเกิดในราชอาณาจักรไทยแต่ก็เป็นบุตรนายย. ซึ่งเป็นคนญวนอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิชอบแล้วได้อยู่กินเป็นสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกับนาง ว.ซึ่งเกิดที่จังหวัดสกลนครและมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแม้โจทก์ที่1ถึงที่8และโจทก์ที่9ถึงที่12จะมิได้ถูกถอนสัญชาติไทยและมิได้ถูกจำกัดมิให้ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่337แต่โจทก์ทั้งสิบสองก็เป็นผู้ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามมาตรา7ทวิวรรคหนึ่ง(3)แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ.2508ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่2)พ.ศ.2535มาตรา5เพราะพระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่2)พ.ศ.2535มาตรา11บัญญัติให้การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวมีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย
of 64