พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาได้ ศาลฎีกายืนตามดุลพินิจ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 81 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องโทษ เป็นให้จำคุกจำเลย 1 ปี และให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด3 ปี เช่นนี้เป็นการแก้มาก โจทก์ฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 และ 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้มีคำพิพากษาเพิกถอนคืนการให้ แต่หากกรรมสิทธิ์ยังไม่โอน โจทก์ยังบังคับให้จำเลยโอนได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานล่าช้า: ศาลฎีกาไม่รับ เหตุทนายจำเลยละเลยหน้าที่ แม้มีเหตุผลด้านเวลา
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานภายหลังกำหนดเวลาโดยอ้างว่าหลงลืมนั้น เป็นคำแก้ตัวที่ยากจะรับฟัง เมื่อกฎหมายได้กำหนดหน้าที่ของคู่ความในการระบุอ้างพยานไว้โดยชัดเจน เช่นนี้ จะยกเรื่องประโยชน์แห่งความยุติธรรมมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยหาควรไม่ เพราะความยุติธรรมนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่าย มิใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว จึงไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สังหาริมทรัพย์จำนองไม่ได้: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม แม้มีการต่อสู้เรื่องทรัพย์จำนองไม่ได้เพิ่มเติม
ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 328/2507 ของศาลจังหวัดว่าจำเลยทำสัญญาจำนองทรัพย์ไว้กับโจทก์(สัญญาฉบับเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้) ขอให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระเฉพาะ2 เดือน 5,000 บาท โดยไม่ได้ฟ้องขอบังคับจำนอง จำเลยให้การในคดีนั้นว่า สัญญาจำนองเป็นโมฆะ แต่ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าทรัพย์หมายเลข 2 ถึงเลข 7 จำนองกันไม่ได้ดังคำให้การในคดีนี้ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำนองตามสัญญาจำนองฉบับเดียวกับคดีก่อน ศาลชั้นต้นสั่งงดรอคดีนี้ไว้ฟังผลของคดีก่อน ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาคดีก่อนว่า โจทก์จำเลยไปจดทะเบียนนิติกรรมจำนองด้วยกันการกล่าวอ้างและข้อนำสืบของจำเลยไม่น่าเชื่อฟัง พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ย 5,000 บาท ดังนี้ในคดีก่อนไม่มีประเด็นว่า ทรัพย์รายใดจำนองกันได้หรือไม่ได้ตามกฎหมาย เพราะมิใช่คดีฟ้องบังคับจำนองศาลฎีกาจึงชี้ขาดคดีก่อนเพียงในประเด็นว่า จำเลยได้ทำสัญญาจำนองโดยจดทะเบียนนิติกรรมไว้จริง ไม่ได้ชี้ขาดไปถึงว่า ทรัพย์ที่ระบุไว้ในสัญญาจำนองรายการใดจำนองกันได้หรือไม่ได้ แต่ในคดีนี้จำเลยได้ต่อสู้ด้วยว่า ทรัพย์หมายเลข 2 ถึงเลข 7 ไม่เป็นทรัพย์ที่อาจจำนองได้ ศาลจึงต้องชี้ขาดในประเด็นนี้อีก ไม่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน
เครื่องผสมอาหาร เรือยนต์ (ไม่ปรากฏระวางบรรทุก)เรือลำเลียงขนาด 2 ตัน เครื่องบดอาหาร รถยนต์บรรทุกและตู้ฟักไข่ไม่มีกฎหมายใดให้จดทะเบียนได้เฉพาะการ และไม่เป็นทรัพย์ที่จะจำนองได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์มากเกินกว่าที่จะได้ ศาลก็พิพากษาให้เท่าที่กล่าวในฟ้องได้ ไม่เป็นฟ้องอุทธรณ์เคลือบคลุม
เครื่องผสมอาหาร เรือยนต์ (ไม่ปรากฏระวางบรรทุก)เรือลำเลียงขนาด 2 ตัน เครื่องบดอาหาร รถยนต์บรรทุกและตู้ฟักไข่ไม่มีกฎหมายใดให้จดทะเบียนได้เฉพาะการ และไม่เป็นทรัพย์ที่จะจำนองได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์มากเกินกว่าที่จะได้ ศาลก็พิพากษาให้เท่าที่กล่าวในฟ้องได้ ไม่เป็นฟ้องอุทธรณ์เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาการขอคืนของกลาง: นับจากวันอ่านคำสั่งศาลฎีกาถึงที่สุด ไม่ใช่วันพิพากษาเดิม
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2509 วันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา จำเลยฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีให้ยกเสีย และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2509 วันที่ 13 มิถุนายน 2510 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลาง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟัง การนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลาง นับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไป การที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาการขอคืนของกลาง: นับจากวันอ่านคำสั่งศาลฎีกาถึงที่สุด ไม่ใช่วันพิพากษาเดิม
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2509 วันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาจำเลยฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีให้ยกเสีย และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่14 มิถุนายน 2509วันที่ 13 มิถุนายน 2510 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟังการนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลางนับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไปการที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงจากการออกเช็คไม่มีเงินรองรับ แม้ศาลอุทธรณ์ยกฐานความผิด แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำครบองค์ประกอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงกับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497มาตรา 3. โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดความจริงซึ่งควรต้องบอกให้แจ้งว่า. จำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้. ซึ่งความจริงในวันออกเช็คก็ดีวันสั่งจ่ายเงินตามเช็คก็ดี เงินในบัญชีของจำเลยไม่มีพอจ่าย ทั้งธนาคารก็ได้ปิดบัญชีจำเลยแล้ว. การหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้มอบเงินให้จำเลยไป. ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงในความผิดฐานฉ้อโกงไว้ครบถ้วนแล้ว. เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง คดีจึงเป็นอันฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามโจทก์ฟ้องทั้งสองฐาน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 865/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อถูกข่มขู่ทำร้าย ศาลฎีกาพิจารณาเหตุผลสมควรแก่เหตุ
ผู้ตายโกรธจำเลยเรื่องเบื่อหมูของผู้ตาย ได้มาต่อว่าจำเลยและจะให้ใช้ราคา. จำเลยไม่ยอมใช้ ผู้ตายจึงท้าให้จำเลยลงจากเรือน. จำเลยไม่ลง ผู้ตายจึงก้าวขึ้นบันไดไปสองขั้น และฟันจำเลยแต่ไม่ถูก. ผู้ตายจึงก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สามต่อไปอีกทั้งๆ ที่จำเลยได้ร้องห้ามแล้วว่า ถ้าขึ้นมาจะแทง แต่ผู้ตายก็ไม่เชื่อฟัง. จำเลยจึงใช้หลาวไม้ไผ่แทงผู้ตาย 1 ที ถูกหน้าท้อง และผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่ถูกแทง. ดังนี้ ย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง. การกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย. จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยบันดาลโทสะจากคำพูดดูถูกเหยียดหยาม ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยเป็นหญิงมีภาระต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงน้องให้ได้รับการศึกษาชั้นมหาวิทยาลัย และส่งเงินเลี้ยงบิดามารดา.จำเลยรักใคร่ได้เสียกับผู้ตายจนจำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายก็ตีตนออกห่าง ไม่ยอมพบ. จำเลยโทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วย. วันเกิดเหตุจำเลยได้ไปคอยพบผู้ตายและพูดเรื่องที่จำเลยมีครรภ์. ผู้ตายว่าจำเลยว่า บอกให้เอาออกก็ไม่เอาออก. ผู้ตายไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อเด็ก.ทั้งยังว่าจำเลยว่า อยากหน้าด้านไปหาผู้ตายเองและว่าพ่อแม่จำเลยไม่สั่งสอนให้ดี. อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม. จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ การลงโทษฐานมีส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ศาลฎีกาชี้ขาดโทษหนักที่สุด
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7 บัญญัติห้ามมิให้ทำหรือมีไว้ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ผู้ฝ่าฝืนให้ลงโทษตามมาตรา 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 3 วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "อาวุธปืน" หมายความรวมตลอดถึงอาวุธปืนทุกชนิด ฯลฯ และส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืนนั้น ๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญ และได้ระบุไว้ในกฎกระทรวง วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "เครื่องกระสุนปืน" หมายความรวมตลอดถึงหัวกระสุนโดด กระสุนปลาย กระสุนแตก ฯลฯ หรือเครื่อง หรือสิ่งสำหรับอัด หรือทำ หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืน กฎกระทรวงฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2491) กำหนดว่า ส่วนของอาวุธปืนที่จะกล่าวต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นอาวุธปืน คือลำกล้อง เครื่องลั่นไก หรือส่วนประกอบสำคัญของเครื่องลั่นไก พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 บัญญัติให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา 72 (วรรคหนึ่ง) ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท (วรรค 2) ถ้าการฝ่าฝืนตามวรรคหนึ่งเป็นเพียงกรณีเกี่ยวกับส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืน ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนี้ ข้อกฎหมายที่จะลงโทษจำเลยจึงมี 2 ประการ ประการแรกเกี่ยวกับอาวุธปืน ประการหลัง เกี่ยวกับเครื่องกระสุนปืน ซึ่งจะต้องวางโทษตามมาตรา 72 วรรคสอง วรรคหนึ่งตามลำดับ และลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 72 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ได้