คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,377 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15711/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิที่ดิน ส.ป.ก. โดยมิชอบตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมอบที่ดินพิพาทและอนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน มิได้มีผลให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คงมีแต่เพียงสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเท่านั้น พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 บัญญัติว่า "ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร ฯลฯ" นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เจ้าหน้าที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดนครราชสีมาแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่าหากจำหน่ายจ่ายโอนหรือให้เช่าที่ดินพิพาท โจทก์จะสิ้นสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททันที การที่โจทก์กลับมาอ้างว่าให้จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินพิพาท มิได้โอนขายสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองและโจทก์ยังมีชื่อเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทไปจากโจทก์เอง ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท ส่วนการที่จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นกรณีที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15010/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านอนุญาโตตุลาการต้องยื่นต่อคณะอนุญาโตตุลาการตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตามสิทธิในการขอให้ศาลเพิกถอนย่อมไม่มี
สัญญาประกันภัยระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมีข้อกำหนดการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการว่า หากคู่ความมีข้อพิพาทใด ๆ เกี่ยวข้องกับสัญญานี้ ให้เสนอข้อพิพาทนั้นต่อคณะอนุญาโตตุลาการ (an arbitration tribunal) ซึ่งมาตรา 20 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 บัญญัติว่า ในกรณีที่คู่พิพาทมิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น คู่พิพาทฝ่ายที่ประสงค์จะคัดค้านอนุญาโตตุลาการจะต้องยื่นหนังสือแสดงเหตุแห่งการคัดค้านต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการตั้งอนุญาโตตุลาการหรือรู้ข้อเท็จจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 วรรคสาม เมื่อผู้คัดค้านแจ้งการแต่งตั้ง จ. เป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้คัดค้าน ผู้ร้องแจ้งคัดค้านการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้คัดค้าน โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ร้องแล้วร่วมกันตั้งอนุญาโตตุลาการเพิ่มอีกหนึ่งคนเป็นประธานคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 17 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เพื่อประกอบกันเป็นคณะอนุญาโตตุลาการ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงวิธีคัดค้านอนุญาโตตุลาการไว้เป็นอย่างอื่น จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง คือไม่ได้ยื่นหนังสือแสดงเหตุแห่งการคัดค้านต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการแต่งตั้ง จ. เป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้คัดค้าน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14779/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอำนาจฟ้องของวัด: หลักฐานการสร้างวัดตามกฎหมาย และฐานะนิติบุคคล
วัดโจทก์เป็นวัดที่สร้างในปี 2478 แต่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา วัดโจทก์จึงมีสถานะเป็นวัดประเภท "ที่สำนักสงฆ์" ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 5 ที่บังคับใช้ในขณะนั้น และได้สร้างวัดขึ้นถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ 5 ประการ โดยนายอำเภอและเจ้าคณะแขวงเห็นว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั้ง 5 ข้อแล้ว ให้เจ้าคณะแขวงมีอำนาจทำหนังสืออนุญาตให้สร้างที่สำนักสงฆ์ และให้นายอำเภอประทับตรากำกับในหนังสือนั้น และเจ้าของที่ดินนั้นจะต้องจัดการโอนโฉนดเนื้อที่วัดถวายแก่สงฆ์ตามกฎหมายก่อน จึงจะสร้างที่สำนักสงฆ์ได้ ดังนั้น การสร้างที่สำนักสงฆ์ตามกฎหมายดังกล่าวย่อมมีหลักฐานเป็นหนังสือที่สามารถตรวจสอบได้คือ จดหมายของผู้ประสงค์จะสร้างที่สำนักสงฆ์ถึงนายอำเภอ 1 ฉบับ หนังสือของเจ้าคณะแขวงอนุญาตให้สร้างที่สำนักสงฆ์ซึ่งนายอำเภอประทับตรากำกับ 1 ฉบับ และโฉนดที่ดินซึ่งเจ้าของที่ดินจดทะเบียนโอนให้เป็นที่วัดแล้ว เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการ ควรจะมีการเก็บรักษาหรือบันทึกไว้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโฉนดที่ดินที่มีผู้อุทิศให้สร้างวัดนั้นย่อมเป็นหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ามีการสร้างวัดหรือที่สำนักสงฆ์ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่โจทก์ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับการสร้างที่สำนักสงฆ์ตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจากอำเภอ เจ้าคณะแขวงหรือโฉนดที่ดินมาแสดง ดังนั้น โจทก์จึงไม่ใช่วัดตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14618/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษจากประวัติผู้ต้องหา การนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาลงโทษขัดต่อกฎหมาย
แม้จะปรากฏจากคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางถึงเหตุไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยว่า จำเลยเคยกระทำความผิดฐานเสนอจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรของผู้อื่นมาแล้วหลายคดี แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้มาจากรายงานเจ้าหน้าที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ตรวจสอบประวัติผู้กระทำผิดจากระบบงานบริหารสำนวนคดี โดยที่โจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในคำฟ้อง และไม่ปรากฏว่ามีการสอบข้อเท็จจริงนี้จากจำเลยด้วย รายงานของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานหลักฐานแต่เป็นเพียงเอกสารภายในหน่วยงานเพื่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ศาลกับศาล การที่จำเลยให้การรับสารภาพจึงเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏในคำฟ้อง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยนั้น จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาพิจารณาลงโทษจำเลย ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นควรแก้ไขโทษให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14451/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษปรับรายวันในคดีประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ชอบด้วยกฎหมายเมื่อสอดคล้องกับบทบัญญัติ พ.ร.บ.โรงแรม
บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาและบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ คำพิพากษาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 20 ได้ความว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนธันวาคม 2556 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2557 เวลากลางวันต่อเนื่องกันจำเลยประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ดังนี้ การฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับวันเวลาซึ่งเกิดการกระทำความผิดของจำเลยพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่าจำเลยกระทำความผิดตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2556 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2557 คำขอท้ายฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ที่ให้ปรับจำเลยเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 จึงมิได้ขัดแย้งกับวันเวลากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจาแต่อย่างใด การฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จึงชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 แล้ว
จำเลยกระทำความผิดฐานประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่ง พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 มาตรา 59 บัญญัติว่า "ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่" ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันจึงเป็นการลงโทษปรับตามบทบัญญัติดังกล่าว มิได้นำบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาใช้บังคับเพื่อปรับบทลงโทษจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงมิใช่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ทั้งคำว่าต้นเดือนธันวาคม มีความหมายถึงวันที่ 1 ธันวาคมด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ปรับจำเลยเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 จนถึงวันฟ้องจึงมิใช่เป็นการตีความที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14054/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟื้นฟูกิจการ: การขยายระยะเวลาแผนต้องไม่เกิน 2 ครั้ง และต้องมีเหตุผลความจำเป็นตามกฎหมาย
ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว ผู้บริหารแผนมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตามแผนโดยกิจการของบริษัทลูกหนี้จะต้องมีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายและจำนวนเงินที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนภายในระยะเวลาดำเนินการตามแผนซึ่งมีกำหนดเวลาไม่เกินห้าปี ถ้ามีความจำเป็นต้องแก้ไขแผนเพื่อให้การฟื้นฟูกิจการสำเร็จลุล่วงไปได้ ผู้บริหารแผนอาจเสนอขอแก้ไขแผนได้ แต่การแก้ไขแผนโดยขอขยายกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนดังกล่าวให้ทำได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินหนึ่งปี เว้นแต่ในกรณีเป็นที่เห็นได้แน่ชัดว่าแผนได้ดำเนินมาใกล้จะสำเร็จแล้วจึงขยายเวลาต่อไปอีกตามควรแก่กรณีก็ได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/42 (9) ประกอบมาตรา 90/63 วรรคสอง ดังนั้น ระยะเวลาดำเนินการตามแผนจึงเป็นสาระสำคัญในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
คดีนี้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 และมีคำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผนซึ่งขอขยายกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนแล้วสองครั้ง ต่อมาผู้บริหารแผนยื่นข้อเสนอขอแก้ไขแผนครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 เพื่อขอปรับลดหนี้และขยายระยะเวลาการชำระหนี้และการปฏิบัติตามแผนออกไปอีกนั้น เมื่อพิจารณารายงานการปฏิบัติตามแผนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ปรากฏว่า ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามข้อเสนอขอแก้ไขแผนครั้งที่ 2 และผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนครบ 7 ปี แล้ว ผู้บริหารแผนไม่สามารถดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตามแผนได้ ยังคงมีภาระหนี้ที่ต้องชำระต่อไปคิดเป็นอัตราร้อยละ 46.41 ทั้งเป็นการขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเกินกว่า 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 ปี และปรากฏชัดเจนแล้วว่าแผนมิได้ดำเนินการมาใกล้จะแล้วเสร็จแต่อย่างใด จึงไม่มีความจำเป็นหรือเหตุสมควรที่ศาลจะขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนต่อไปได้อีกตามมาตรา 90/63 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14009/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการยื่นคำร้องคัดค้านหลังพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย และความถูกต้องของอ้างอิงบทกฎหมาย
ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับมาตรา 309 ทวิ วรรคสอง ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เมื่อศาลเห็นสมควรไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง หรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะ หรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดตามที่ศาลเห็นสมควร" มาตรา 296 วรรคสาม บัญญัติว่า "การยื่นคำร้องตามมาตรานี้อาจกระทำได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง..." คดีนี้การบังคับคดีเสร็จสิ้นลงไปแล้ว โดยผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 ในราคา 1,120,000 บาท และเจ้าพนักงานเสนอบัญชีแสดงรายการรับ - จ่ายเงินต่อศาลว่าได้จ่ายเงินให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในคดีไปครบถ้วนแล้วตั้งแต่วันดังกล่าว แต่ผู้ร้องมายื่นคำร้องในคดีนี้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยกว่า 2 ปี หลังจากการบังคับคดีเสร็จสิ้นลงไปแล้ว คำร้องขอให้กันส่วนที่ดินของผู้ร้องและยกเลิกการขายทอดตลาดของผู้ร้องจึงเป็นการล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสาม จึงเป็นการต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นระบุมาตรา 1332 นั้น เนื่องจากมีข้อความว่าเป็นเรื่องผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ซึ่งเมื่อพิจารณาตัวบทกฎหมายแล้วก็จะเห็นว่า มาตรา 1332 นั้นเป็นเรื่องของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิใช่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนในเรื่องชื่อของกฎหมายเท่านั้น มิใช่เป็นการอ้างกฎหมายผิด หรือไม่มีบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด ดังนั้นการอ้างชื่อบทกฎหมายผิดทั้ง ๆ ที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วจึงไม่ก่อให้เกิดผลของการเปลี่ยนแปลงทางคดีแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14001/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการรวมสำนวนคดีและการบังคับคดีข้ามสำนวน ต้องมีคำสั่งรวมกันตามกฎหมาย
แม้คดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 15529 - 15530/2541 ต่างเป็นสำนวนของศาลชั้นต้นเดียวกัน แม้คู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นบุคคลเดียวกัน และพิพาทกันในมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อขาย ฉบับเดียวกันก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็เพียงแต่มีคำสั่งให้นำสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 15529 - 15530/2541 มาผูกรวมกับสำนวนคดีนี้ โดยมิได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีเหล่านี้รวมกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 28 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด ทั้งสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 15529 - 15530/2541 ศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดไปก่อนในลักษณะวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ต่างสำนวนกันกับคดีนี้ จึงไม่อาจจะถือว่าสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 15529 - 15530/2541 เป็นส่วนหนึ่งของคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นคดีนี้จะมีคำสั่งข้ามสำนวนไปเพิกถอนการบังคับคดี ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 15529 - 15530/2541 นั้นได้ และปัญหาเกี่ยวด้วยอำนาจศาลในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่เมื่อเห็นสมควรศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13678/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยสิ่งอื่นแทนเงิน การยอมรับของเจ้าหนี้ และผลของการตกลงเพิ่มเติมที่ขัดแย้งกับกฎหมาย
ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง อันเป็นหลักทั่วไปในเรื่องหนี้ที่มีบทบัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป" ก็ดี และตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง อันเป็นบทบัญญัติเฉพาะในเรื่องเอกเทศสัญญา ลักษณะยืม ที่มีบทบัญญัติว่า "ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ" ก็ดี ล้วนมีองค์ประกอบสำคัญว่าต้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้หรือผู้ให้กู้ยืมยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ทั้งสิ้น ซึ่งตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสาม มีบทบัญญัติว่า "ความตกลงกันอย่างใด ๆ ขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้ ท่านว่าเป็นโมฆะ" นั้น มีความหมายว่า เมื่อผู้ให้กู้ยืมยินยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมแล้ว หากมีข้อตกลงให้คิดมูลค่าสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่ชำระนอกเหนือไปจากจำนวนราคาตามท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ ก็ถือว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ ดังนี้ การยินยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมจึงเป็นสิทธิของผู้ให้กู้ยืมฝ่ายเดียวที่จะยินยอมหรือไม่ก็ได้ สัญญากู้ยืมเงิน ข้อ 6 ที่มีข้อความว่า "คู่สัญญาตกลงกันว่า ผู้กู้จะชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระเงินไม่ได้เป็นอันขาด" มิได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด จึงหาเป็นโมฆะไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13605/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการสวมสิทธิเรียกร้องหลังโอนหนี้: บรรษัทบริหารสินทรัพย์สามารถสวมสิทธิได้ตามกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิมโอนสินทรัพย์รวมทั้งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิเรียกร้องแล้วให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยบทบัญญัติของ พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 และเป็นการเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยผลของกฎหมาย ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ ส่วนจำเลยที่ 1 จะมีหนี้อยู่กับโจทก์เดิมในเรื่องใด จำนวนเท่าไร และจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวจนเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในการดำเนินการบังคับคดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละกรณีกับสิทธิในการยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนในคดีนี้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยดำเนินการแก้ไขเกี่ยวกับหนี้ของจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นและหนี้ระงับแล้ว ผู้ร้องไม่อาจเข้ามาสวมสิทธิได้นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
of 238