พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,140 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6426/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) แม้เป็นส่วนหนึ่งของยาที่ครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย ถือเป็นความผิดอีกกระทง
จำเลยนำเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด ติดตัวไปที่บ้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านที่ ณ. พักอาศัยอยู่ พบ ณ. กับ น. และพวกรวมประมาณ 5 ถึง 6 คน ซึ่งไม่ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับจำเลยอย่างไร และทั้งหมดนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันบริเวณด้านหลังของบ้านที่เกิดเหตุ โดยจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง 2 เม็ด ออกมาวางตรงกลางเพื่อจำเลยและทุกคนได้เสพ ถือเป็นการกระทำอันเป็นการแพร่กระจายยาเสพติดให้โทษไปสู่บุคคลอื่น เข้าลักษณะแจกจ่าย ซึ่งอยู่ในความหมายของการจำหน่ายตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 แล้ว การที่ น. หยิบเอาเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ดไว้ แม้ น. และบุคคลอื่นเหล่านั้นจะยังไม่ทันได้เสพก็ตาม การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด โดยไม่ได้รับอนุญาต
การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ย่อมเป็นความผิดสำเร็จแล้วกระทงหนึ่ง และเมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด แม้เมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จะเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ซึ่งต้องเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกรรมตาม ป.อ. มาตรา 91
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2560)
การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ย่อมเป็นความผิดสำเร็จแล้วกระทงหนึ่ง และเมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด แม้เมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด จะเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ซึ่งต้องเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกรรมตาม ป.อ. มาตรา 91
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2560)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6424/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ฯ นำเข้าจากต่างประเทศ ศาลฎีกาพิพากษาตามกฎหมายใหม่ที่แก้ไขโทษจำคุก
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 มาตรา 6 ยกเลิกความใน มาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 และให้ใช้ความใหม่แทน ซึ่ง มาตรา 65 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาทเป็นคุณมากกว่า มาตรา 65 วรรคหนึ่ง เดิม ที่ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขใหม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5032/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการครอบครองยาเสพติด: การกระทำที่เข้าข่ายช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิด
จำเลยที่ 3 รับจ้างไปรับกุญแจบ้านเกิดเหตุ โดยรู้ว่าเป็นที่ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีน แต่จำเลยที่ 3 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเมทแอมเฟตามีนไปซุกซ่อนที่บ้านดังกล่าว และไม่มีส่วนร่วมครอบครองเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิด อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4338/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พฤติการณ์ร่วมเดินทางและรับรู้การกระทำผิด
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ร่วมเดินทางกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ และพาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพักค้างคืนอยู่ที่อำเภอฝางและอำเภอเชียงดาวรวมเป็นเวลาถึง 4 วัน และจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ไปรับยาเสพติดของกลางจากผู้ส่งยาเสพติดทางภาคเหนือดังกล่าว แสดงถึงข้อพิรุธที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตลอดเวลา ทั้งยาเสพติดของกลางที่ตรวจพบในรถตู้ดังกล่าวนั้น มีจำนวนมาก จำเลยที่ 3 ย่อมสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายเมื่อจำเลยที่ 1 ไปรับยาเสพติดของกลางมาจากผู้ส่งยาเสพติด การที่ยาเสพติดดังกล่าวซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังเบาะของคนขับซึ่งขณะจับกุมนั้นมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ จึงมีเหตุผลเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ร่วมรู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการเดินทางไปรับยาเสพติดของกลางจากอำเภอฝางและอำเภอแม่อาย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มียาเสพติดของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 มียาเสพติดของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 แต่เห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยที่ 3 ให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3753/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การของผู้ต้องหาในคดียาเสพติดเป็นพยานหลักฐานได้ และการกระทำร่วมกันมีเจตนาครอบครองเพื่อจำหน่าย
การกล่าวหาและจับกุมจำเลยดำเนินคดีนี้ แม้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากคำซัดทอดของ ศ. ที่ถูกจับกุมในคดีอื่น แต่ ศ. ให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในคดีที่ ศ. เป็นผู้ต้องหาในวันเดียวกับวันที่ถูกจับกุม จึงเป็นการยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวให้ผิดไปจากความจริงและในคดีดังกล่าว ศ. ให้การรับสารภาพ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยเพียงผู้เดียว หากเป็นการบอกเล่าเรื่องราวในการกระทำความผิดของตนยิ่งกว่าการปรักปรำจำเลยเสียอีก ทั้ง ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า การสอบคำให้การในชั้นจับกุมของผู้ต้องหาซึ่งเป็นเด็กดังเช่น ศ. จะต้องกระทำต่อหน้านักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์หรือที่ปรึกษากฎหมายหรือบุคคลที่เด็กไว้วางใจ และไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้นำคำให้การชั้นจับกุมของผู้ต้องหาในลักษณะดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของบุคคลอื่นหรือจำเลยในคดีอื่นแต่ประการใดทั้งสิ้น
จำเลยจ้างให้ ศ. ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วนำมาส่งให้จำเลย โดยใช้รถจักรยานยนต์ของจำเลย และจำเลยโทรศัพท์สั่งการ ศ. เมื่อ ศ. รับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว ถือว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับ ศ. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับ ศ. กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กรณีมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
จำเลยจ้างให้ ศ. ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วนำมาส่งให้จำเลย โดยใช้รถจักรยานยนต์ของจำเลย และจำเลยโทรศัพท์สั่งการ ศ. เมื่อ ศ. รับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว ถือว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับ ศ. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับ ศ. กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กรณีมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3211/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพยายามครอบครองเมทแอมเฟตามีน: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยลงมือกระทำความผิดแต่ไม่สำเร็จ
จำเลยที่ 1 ลงมือกระทำความผิดตามที่มีผู้ว่าจ้างให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนในที่เกิดเหตุซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่บริเวณโคนเสาป้ายสัญญาณจราจรทางโค้ง โดยลงจากรถไปยืนที่บริเวณดังกล่าวตามที่นัดหมายไว้ อันเป็นเหตุการณ์ใกล้ชิดกับความผิดสำเร็จ แต่จำเลยที่ 1 กระทำไปไม่ตลอดเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจมาพบและถูกจับกุมได้เสียก่อน จึงเป็นการพยายามกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการค้ายาเสพติด: ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษผู้สนับสนุนการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย
จำเลยที่ 2 ให้คนรักของจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าห้องพักที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาซุกซ่อนไว้เพื่อจำหน่าย ก่อนถูกจับกุมจำเลยที่ 2 เปิดประตูห้องพักพบเจ้าพนักงานตำรวจมีอาการตกใจรีบหลบหนีกลับเข้าไปในห้องพักทันที อันเป็นข้อพิรุธ ส่วนจำเลยที่ 3 เปิดบัญชีธนาคารโดยรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำสมุดบัญชีเงินฝากและบัตรเอทีเอ็มไปใช้เบิกถอนเงินออกไปจากบัญชีของจำเลยที่ 3 เป็นจำนวนมาก และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิด การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นเพียงผู้สนับสนุน ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ได้รับใบอนุญาตซื้อ แต่ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตมีและใช้ หากไม่ดำเนินการถือเป็นอาวุธปืนผิดกฎหมาย
แม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (แบบ ป.3) โดยถูกต้อง แต่จำเลยไม่ดำเนินการเพื่อออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ภายในอายุใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (แบบ ป.3) เช่นนี้ ถือได้ว่า ขณะจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ อาวุธปืนของกลางจึงเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทางทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ อันเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดมีไว้เป็นความผิด ต้องริบเสียทั้งสิ้น ตาม ป.อ. มาตรา 32 ด้วยเหตุนี้ จำเลยจะอ้างเหตุว่าภายหลังเกิดเหตุจำเลยได้จดทะเบียนให้มีและใช้อาวุธปืนของกลางถูกต้องเรียบร้อยแล้ว มาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อมิให้ริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์จากการขุดดินในที่ดินที่ครอบครองต่อเนื่อง
โจทก์ครอบครองทำประโยชน์และปักเสาปูนรอบที่พิพาท ทั้งเป็นผู้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ตามใบ ภ.บ.ท. 5 เลขที่สำรวจ 862/2521 ต่อมาสำนักงานธนารักษ์พื้นที่กาญจนบุรีตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าเป็นที่ดินราชพัสดุและมีลักษณะเป็นทางสาธารณประโยชน์ ขณะเกิดเหตุโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยครอบครองต่อเนื่องจากผู้ขายที่ดินให้โจทก์ ดังนั้น หากมีบุคคลอื่นเข้ามาขุดดินทำเป็นร่องวางท่อระบายน้ำในที่ดิน อันเป็นการรบกวนการครอบครองและทำให้เสียหายซึ่งที่ดินที่โจทก์ครอบครองดังกล่าว ย่อมเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ในขณะนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4426/2564
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดฐานบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐ และการพิจารณาโทษที่เหมาะสม
แม้โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่า โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่าเป็นป่าตามฟ้องประเภทใดก็ตาม แต่เมื่อที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่า ซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่สงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ก็ย่อมเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปหาพืชผักหรือปลาที่ไม่ใช่ของป่าหวงห้ามเพื่อการดำรงชีพได้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาหาได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ต้องยกฟ้องโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8954/2558 เป็นเรื่องที่ทายาทของ ส. อ้างว่าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ฟ้องขับไล่ อ. ผู้บุกรุกและเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นการที่ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันว่า ผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อน และใครมีสิทธิดีกว่ากัน หาได้มีการวินิจฉัยรับรองถึงสถานะของที่ดินพิพาทว่าเป็นป่าหรือไม่ ทายาทของ ส. ผู้ชนะคดีมีสิทธิครอบครองที่ดินและกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองหรือไม่แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงไม่ได้ก่อสิทธิใดแก่ทายาทของ ส. ที่จะยกขึ้นต่อสู้รัฐได้ ดังนั้น เมื่อจำเลยถูกดำเนินคดีนี้ แม้ที่ดินที่เกิดเหตุที่จำเลยครอบครองแทนทายาทของ ส. เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งดังกล่าว ผลของคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวก็ไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิอันใดแก่จำเลยที่ยกขึ้นยันรัฐได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8954/2558 เป็นเรื่องที่ทายาทของ ส. อ้างว่าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ฟ้องขับไล่ อ. ผู้บุกรุกและเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นการที่ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันว่า ผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อน และใครมีสิทธิดีกว่ากัน หาได้มีการวินิจฉัยรับรองถึงสถานะของที่ดินพิพาทว่าเป็นป่าหรือไม่ ทายาทของ ส. ผู้ชนะคดีมีสิทธิครอบครองที่ดินและกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองหรือไม่แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงไม่ได้ก่อสิทธิใดแก่ทายาทของ ส. ที่จะยกขึ้นต่อสู้รัฐได้ ดังนั้น เมื่อจำเลยถูกดำเนินคดีนี้ แม้ที่ดินที่เกิดเหตุที่จำเลยครอบครองแทนทายาทของ ส. เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งดังกล่าว ผลของคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวก็ไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิอันใดแก่จำเลยที่ยกขึ้นยันรัฐได้เช่นกัน