พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่-ค่าเสียหาย: เพียงกล่าวว่าเช่าเพื่อค้าเพียงพอ ไม่เคลือบคลุม
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกเพื่อทำการค้า เป็นการเพียงพอที่แสดงว่าจำเลยเช่าเพื่อทำการค้า ไม่ใช่เพื่ออยู่อาศัย โจทก์ไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าจำเลยทำการค้าอะไร จำเลยไม่เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ฟ้องไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฉ้อโกงที่ไม่จำเป็นต้องระบุเวลาทำผิด หากข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นช่วงเวลาของการกระทำได้ชัดเจน
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงโดยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2496 จำเลยเอาที่ดินซึ่งอ้างว่าเป็นของจำเลยมาประกันเงินกู้โจทก์หลงเชื่อจึงให้จำเลยกู้เงินไปและจำเลยได้เขียนระบุที่ดินนั้นไว้ในสัญญากู้ด้วย ความจริงปรากฎต่อมาว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้อื่น
สำหรับกรณีเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเกิดเหตุเวลากลางวันหรือกลางคืน เพราะกิจการที่กล่าวอ้างในฟ้องเป็นเครื่องแสดงให้บังเกิดความหมายและเข้าใจได้แล้วซึ่งจำเลยเองก็มิได้ปฏิเสธความข้อนี้ และจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริงซึ่งหมายความทำกันในวันนั้น หากแต่โต้เถียงว่ามิได้หลอกลวงซึ่งเป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งจะเรียกว่าโจทก์ฟ้องเคลือบคลุม(เพราะไม่มีเวลาเกิดเหตุ) ไม่ได้
สำหรับกรณีเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเกิดเหตุเวลากลางวันหรือกลางคืน เพราะกิจการที่กล่าวอ้างในฟ้องเป็นเครื่องแสดงให้บังเกิดความหมายและเข้าใจได้แล้วซึ่งจำเลยเองก็มิได้ปฏิเสธความข้อนี้ และจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริงซึ่งหมายความทำกันในวันนั้น หากแต่โต้เถียงว่ามิได้หลอกลวงซึ่งเป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งจะเรียกว่าโจทก์ฟ้องเคลือบคลุม(เพราะไม่มีเวลาเกิดเหตุ) ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1345/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยักยอกทรัพย์ - ข้อพิพาทเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย - ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นยกฟ้องอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องอาศัยข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา การนำสืบข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ระบุในฟ้อง และขอบเขตการนำสืบหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2498 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกสมคบกันเล่นการพนันสลากกินรวบพนันเอาเงินและทรัพย์สินกัน โดยจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นและเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้เพื่อเป็นทางนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนและเข้าเล่นด้วยโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และมีสถานที่เกิดเหตุกับบทกฎหมายที่ขอให้ลงโทษ เช่นนี้ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม วิธีการเล่นสลากกินรวบมีอยู่อย่างไร เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นซึ่งโจทก์ย่อมนำสืบได้ในเวลาพิจารณาคดี ไม่ใช่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็นอย่างใด และเมื่อนำสืบฟังได้เช่นนั้นก็ไม่ใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนเสมอไป ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.240(3)
ศาลขั้นต้นมิได้ชี้ขาดในประเด็นว่าจำเลยได้เช่าห้องพิพาทมาจากนายวิฑูรบิดานายเสียงจริงหรือไม่ คดีมาถึงชั้นศาลอุทธรณ์ ๆ เห็นสมควรชี้ขาดว่า ฟังได้ว่าจำเลยได้เช่าห้องพิพาทจากนายวิฑูรโดยมิได้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อนี้นั้น เป็นเรื่องศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำได้ ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.240(3) ๆ ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำหรือไม่ย้อนก็ได้แล้วแต่ดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยไม่ย้อนสำนวน
ศาลชั้นต้นมิได้ชี้ขาดในประเด็นว่าจำเลยได้เช่าห้องพิพาทมาจากนายวิฑูรบิดานายเสียงจริงหรือไม่คดีมาถึงชั้นศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรชี้ขาดว่า ฟังได้ว่าจำเลยได้เช่าห้องพิพาทจากนายวิฑูรโดยมิได้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อนี้นั้นเป็นเรื่องศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งม.240(3) ม.240(3)ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำหรือไม่ย้อนก็ได้แล้วแต่ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องอาญาเมื่อข้อเท็จจริงวันเวลาในฟ้องต่างจากพยานหลักฐานในการพิจารณา แม้มีการแก้ไขกฎหมายระหว่างพิจารณา
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันหรือเวลาที่จำเลยกระทำผิดตามที่ปรากฏในการพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องตาม ม.192 วรรค 2 ป.วิ.อาญา (ฉบับที่ใช้อยู่ในขณะฟ้องคดีนี้) จำเลยจะผิดหลงหรือเสียเปรียบในการต่อสู้คดีหรือไม่ ๆ สำคัญ
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแม้จะมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2499 ให้ยกเลิก ม.192 และใช้ข้อความใหม่แทนก็ดี ก็จะนำมาใช้แก่คดีที่ฟ้องไว้ก่อนแล้วหาได้ไม่.
(ประชุมใหญ่ที่ 5/2499)
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแม้จะมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2499 ให้ยกเลิก ม.192 และใช้ข้อความใหม่แทนก็ดี ก็จะนำมาใช้แก่คดีที่ฟ้องไว้ก่อนแล้วหาได้ไม่.
(ประชุมใหญ่ที่ 5/2499)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลพลเรือนและการวินิจฉัยข้อเท็จจริงร่วมกันในคดีอาญา
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมูลคดีในการไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถือว่าศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันซึ่งตามลักษณะอุทธรณ์ฎีกาลักษณะ 2 มาตรา 219 บัญญัติว่าห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในคดีซึ่งศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนั้นคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2
โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฟ้องทหารว่าสมคบกับพลเรือนกระทำผิดศาลไต่สวนแล้วได้ความว่าทหารกระทำผิดแต่ลำพังผู้เดียวดังนี้ศาลพลเรือนย่อมต้องจำหน่ายคดีที่ทหารถูกฟ้องนั้นเสียเพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฟ้องทหารว่าสมคบกับพลเรือนกระทำผิดศาลไต่สวนแล้วได้ความว่าทหารกระทำผิดแต่ลำพังผู้เดียวดังนี้ศาลพลเรือนย่อมต้องจำหน่ายคดีที่ทหารถูกฟ้องนั้นเสียเพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีอาญาเรื่องทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกาไม่รับฎีกาเมื่อเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยทางป้องกันพอสมควรแก่เหตุเช่นนี้โจทก์จะฎีกาว่าเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุก็เป็นการคัดค้านในข้อเท็จจริงต้องห้าม (อ้างฎีกาที่ 931/2494)
เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยใช้ขวดทำร้ายผู้เสียหาย และศาลอุทธรณ์อาศัยหลักฐานในสำนวนวินิจฉัยต่อไปแต่ไม่ฟังว่าบาดแผลที่หน้าแข้งของผู้เสียหายเกิดจากการกระทำของจำเลยดังนี้หาใช่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือตรงกันข้ามกับหลักฐานไม่แต่เป็นข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาหาได้ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยใช้ขวดทำร้ายผู้เสียหาย และศาลอุทธรณ์อาศัยหลักฐานในสำนวนวินิจฉัยต่อไปแต่ไม่ฟังว่าบาดแผลที่หน้าแข้งของผู้เสียหายเกิดจากการกระทำของจำเลยดังนี้หาใช่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือตรงกันข้ามกับหลักฐานไม่แต่เป็นข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาไม่ต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น
โจทก์บรรยายในฟ้องว่า "จำเลยขับรถยนต์แซงรถสามล้อเครื่องแล้วเร่งเครื่องยนต์ขับเพื่อขึ้นหน้า ฯ " แต่ครั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ว่า" โจทก์นำพยานเข้าสืบว่า เห็นแต่สามล้อธรรมดาวิ่งอยู่เยื้องหน้ารถจำเลย" เพียงเท่านี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำกล่าวหาในฟ้องของโจทก์ รูปคดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อาญา ม.218.