พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบเมื่อจำเลยรับข้อเท็จจริง: ความรับผิดทางละเมิดและหลักการ ป.พ.พ. มาตรา 437
แม้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.84 จะบังคับให้ฝ่ายที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ๆ เป็นฝ่ายนำสืบก็ดี แต่เมื่อจำเลยรับแล้วว่า รถยนต์ที่จำเลยควบคุมมาชนรถจักรยานสามล้อโจทก์เช่นนี้ หน้าที่นำสืบปลดเปลื้องความรับผิดย่อมตกแก่จำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 437.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้ขอจดทะเบียนต้องเป็นเจ้าของหรือได้รับมอบฉันทะ การจำหน่ายสินค้าโดยไม่ใช้เครื่องหมายการค้าไม่เป็นการละเมิด
ผู้ที่จะขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ จะต้องเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า นั้นๆ แต่ไม่จำต้องเป็นผู้ทำสินค้าขึ้นเองก็ได้ ถ้าบุคคลผู้ขอจดทะเบียนไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแล้ว ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องได้รับมอบฉันทะจากเจ้าของเสียก่อน
เครื่องหมายการค้า " SIMILAC " ที่โจทก์ฟ้องนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทเอมแอนด์อาร์ใดเอทเตติกลามอแรคตอรี่ สำหรับใช้กับแป้งนมซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตขึ้นจำหน่าย หาใช่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ ไม่โจทก์เป็นแต่ผู้จำหน่ายแป้งนมนี้เท่านั้น และบริษัทผู้ผลิตมิได้มอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ต่อเจ้าพนักงานที่โจทก์ไปขอทะเบียนเครื่องหมายการค้า "SIMILAC " ส่งเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ตามนัยของ ม.37 พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า จำเลยเป็นแต่ผู้สั่งแป้งนม SIMILAC เข้ามาจำหน่าย มิใช่เป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าเอง จำเลยจึงมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้.
เครื่องหมายการค้า " SIMILAC " ที่โจทก์ฟ้องนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทเอมแอนด์อาร์ใดเอทเตติกลามอแรคตอรี่ สำหรับใช้กับแป้งนมซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตขึ้นจำหน่าย หาใช่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ ไม่โจทก์เป็นแต่ผู้จำหน่ายแป้งนมนี้เท่านั้น และบริษัทผู้ผลิตมิได้มอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ต่อเจ้าพนักงานที่โจทก์ไปขอทะเบียนเครื่องหมายการค้า "SIMILAC " ส่งเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ตามนัยของ ม.37 พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า จำเลยเป็นแต่ผู้สั่งแป้งนม SIMILAC เข้ามาจำหน่าย มิใช่เป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าเอง จำเลยจึงมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้ขอจดทะเบียนต้องเป็นเจ้าของหรือได้รับมอบฉันทะ การจำหน่ายสินค้าไม่ถือเป็นการละเมิด
ผู้ที่จะขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ จะต้องเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นๆแต่ไม่จำต้องเป็นผู้ทำสินค้านั้นขึ้นเองก็ได้และถ้าบุคคลผู้ขอจดทะเบียนไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแล้วผู้ขอจดทะเบียนจะต้องได้รับมอบฉันทะจากเจ้าของเสียก่อน
เครื่องหมายการค้า'SIMILAC'ที่โจทก์ฟ้องนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทเอมแอนด์อาร์ใดเอทเตติกลาบอแรตตอรี่ สำหรับใช้กับแป้งนมซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตขึ้นจำหน่าย หาใช่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ โจทก์เป็นแต่ผู้จำหน่ายแป้งนมนี้เท่านั้นและบริษัทผู้ผลิตมิได้มอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ต่อเจ้าพนักงานที่โจทก์ไปขอทะเบียนเครื่องหมายการค้า'SIMILAC'จึงเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ตามนัยของมาตรา37 พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าจำเลยเป็นแต่ผู้สั่งแป้งนมSIMILACเข้ามาจำหน่าย มิใช่เป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้านี้เอง จำเลยจึงมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้
เครื่องหมายการค้า'SIMILAC'ที่โจทก์ฟ้องนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทเอมแอนด์อาร์ใดเอทเตติกลาบอแรตตอรี่ สำหรับใช้กับแป้งนมซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตขึ้นจำหน่าย หาใช่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ โจทก์เป็นแต่ผู้จำหน่ายแป้งนมนี้เท่านั้นและบริษัทผู้ผลิตมิได้มอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ต่อเจ้าพนักงานที่โจทก์ไปขอทะเบียนเครื่องหมายการค้า'SIMILAC'จึงเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ตามนัยของมาตรา37 พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าจำเลยเป็นแต่ผู้สั่งแป้งนมSIMILACเข้ามาจำหน่าย มิใช่เป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้านี้เอง จำเลยจึงมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: เริ่มนับเมื่อผู้เสียหายรู้ตัวผู้กระทำผิด
อายุความฟ้องร้องเรื่องละเมิดวันที่ถือว่าผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: เริ่มนับเมื่อผู้เสียหายรู้ตัวผู้กระทำละเมิดและค่าเสียหาย
อายุความฟ้องร้องเรื่องละเมิดวันที่ถือว่าผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขจำนวนค่าเสียหายในคดีละเมิดเล็กน้อย ศาลฎีกาไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีเรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทำการละเมิดจริง แต่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพียง 1,000 บาท ส่วนศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 3,646 บาท ตามคำฟ้องเช่นนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 248 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
( ฎีกาที่ 181/2498 ประชุมใหญ่ )
( ฎีกาที่ 1499/2498 และที่ 362/2500 )
( ฎีกาที่ 181/2498 ประชุมใหญ่ )
( ฎีกาที่ 1499/2498 และที่ 362/2500 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขค่าเสียหายในคดีละเมิดเล็กน้อย: ข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในคดีเรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทำการละเมิดจริงแต่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพียง 1,000 บาทส่วนศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 3,646 บาท ตามคำฟ้องเช่นนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ (ฎีกาที่ 181/2492 ประชุมใหญ่) (ฎีกาที่ 1499/2498 และที่ 362/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างอาคารชิดที่ดินอื่น แม้ผิดเทศบัญญัติ แต่ถ้าไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยปลูกตึกแถวชิดตึกแถวของโจทก์โดยได้รับอนุญาตจากเทศบาล แม้จะเป็นการผิดเทศบัญญัติ แต่ถ้ามิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิมาฟ้องขอให้รื้อถอน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการบรรยายฟ้อง: อำนาจทนายทำสัญญาแทน, สัญญาที่แตกต่างจากละเมิด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยรบกวนสิทธิ ละเมิดสิทธิ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องหรือขัดขวางในการที่โจทก์จะครอบครองทรัพย์ แต่คดีหลังโจทก์ฟ้องเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาที่ทำกันไว้เกี่ยวกับทรัพย์รายเดียวกันนั้น ไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีก่อน กรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 144 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง (ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน) เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่านางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง (ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน) เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่านางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794-1795/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: เริ่มนับแต่วันที่รู้ตัวผู้ละเมิด & ห้ามเปลี่ยนประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา
การนับอายุความ 1 ปี เรื่องละเมิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 ต้องเริ่มนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ว่าใครควรรับผิดอย่างใด เมื่อมาฟ้องคดีเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่ได้ทราบเรื่อง ก็ขาดอายุความ (ฎีกา 243/2497)
เมื่อโจทก์จำเลยกะประเด็นมาแต่ศาลขั้นต้นว่ามีประเด็นข้อสืบเป็นเรื่องละเมิดแล้ว ในชั้นฎีกาจะโต้เถียงว่าควรปรับอายุความเข้าตามบทมาตรา 164,165 ย่อมเป็นการแปรเรื่องเป็นอื่นซึ่งไม่ตรงกับคดี และจะโต้เถียงว่า หากจะมิใช่เป็นความผิดเรื่องละเมิดก็ต้องรับผิดในฐานเป็นตัวแทนผู้เสียหายด้วย ดังนี้เป็นเรื่องยกประเด็นขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อที่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้.
เมื่อโจทก์จำเลยกะประเด็นมาแต่ศาลขั้นต้นว่ามีประเด็นข้อสืบเป็นเรื่องละเมิดแล้ว ในชั้นฎีกาจะโต้เถียงว่าควรปรับอายุความเข้าตามบทมาตรา 164,165 ย่อมเป็นการแปรเรื่องเป็นอื่นซึ่งไม่ตรงกับคดี และจะโต้เถียงว่า หากจะมิใช่เป็นความผิดเรื่องละเมิดก็ต้องรับผิดในฐานเป็นตัวแทนผู้เสียหายด้วย ดังนี้เป็นเรื่องยกประเด็นขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อที่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้.