พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อเท็จจริงที่นำสืบไม่ต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงล้วน
โจทก์บรรยายในฟ้องว่า'จำเลยขับรถยนต์แซงรถสามล้อเครื่องแล้วเร่งเครื่องยนต์ขับเพื่อขึ้นหน้าฯ' แต่ครั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์โจทก์นำพยานเข้าสืบว่าเห็นแต่สามล้อธรรมดาวิ่งอยู่เยื้องหน้ารถจำเลย'เพียงเท่านี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำกล่าวหาในฟ้องของโจทก์รูปคดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้นจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์: จำเป็นต้องรับฟังพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ตามฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยตลอดจนข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันฟังได้ว่ามันสัมปะหลังที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขุดลักเอาไปตามฟ้องนั้นปลูกไว้ในที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อของจำเลยและนางอัวมารดาผู้เสียหายซึ่งเป็นภรรยาจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันนางอัวตายแล้วผู้เสียหายถือว่าที่ดินเป็นมรดกตกได้แก่ผู้เสียหาย ส่วนมันสัมปะหลังผู้เสียหายและจำเลยต่างเกี่ยงกันว่าตนเป็นผู้ปลูกเช่นนี้จะงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าจำเลยไม่มีเถยจิตเป็นโจรยังไม่ได้มูลคดียังไม่พอวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยได้ทำผิดดังข้อหาหรือไม่จึงจำเป็นต้องฟังคำพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงบทลงโทษอาญาและขอบเขตการฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม กฎหมายอาญา มาตรา293,294,295,74 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญามาตรา 294 วรรคสุดท้าย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตาม มาตรา 295 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 295 ตามที่โจทก์ขอจำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้ไม่ต้องห้ามเพราะศาลอุทธรณ์แก้บทลงโทษและแก้โทษจำเลย เป็นการแก้มาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างวันเวลานับตามสุริยคติและจันทรคติไม่กระทบต่อข้อเท็จจริงในฟ้อง การรับฟังพยานหลักฐานต้องมีน้ำหนักพอสมควร
เจ้าทุกข์บรรยายฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 6 พ.ค.97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงซึ่งตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 6 แต่ผู้เสียหายและพยานโจทก์ว่าเกิดเหตุเวลากลางคืนขึ้น 3 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันที่ 5 พ.ค.97
เมื่อคดีได้ความว่าที่ต่างกันนี้เพราะในบรรยายฟ้องโจทก์นับวันเวลาตามสุริยคติคือนับต่อจาก 24.00 น. เป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงไปจนถึง 6.00 น. เป็นอีกวันหนึ่ง แต่ชพยานโจทก์ให้การตามวิธีนับทางจันทรคติสิ้นสุดลงในเวลาย่ำรุ่ง เมื่อคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ค.97 และเวลา 2 ยามไปแล้ว จึงตรงกับวันที่ 6 พ.ค.97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง.
เมื่อคดีได้ความว่าที่ต่างกันนี้เพราะในบรรยายฟ้องโจทก์นับวันเวลาตามสุริยคติคือนับต่อจาก 24.00 น. เป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงไปจนถึง 6.00 น. เป็นอีกวันหนึ่ง แต่ชพยานโจทก์ให้การตามวิธีนับทางจันทรคติสิ้นสุดลงในเวลาย่ำรุ่ง เมื่อคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ค.97 และเวลา 2 ยามไปแล้ว จึงตรงกับวันที่ 6 พ.ค.97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีอาญา: ศาลแพ่งต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกและทำลายทรัพย์ให้เสียหายรวมเป็นเงิน2,400 บาท ขอให้ลงโทษและเรียกค่าเสียหาย เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายจำเลยพิพากษายกฟ้องดังนี้แม้โจทก์จะฎีกาเฉพาะที่เกี่ยวกับส่วนแพ่งอ้างว่าทุนทรัพย์ของโจทก์ที่เรียกร้องมีถึง 2,400 บาทก็ตาม คดีของโจทก์ในส่วนแพ่งก็ไม่มีทางชนะ ได้เพราะในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม มาตรา46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาที่เจาะจงความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ศาลพิจารณา หากไม่สอดคล้อง ศาลต้องยกฟ้อง
ตาม ก.ม.อาญา ม.131 เป็นบทบัญญัติเรื่องเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของรัฐบาลซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาตามหน้าที่ของตน.เมื่อฟ้องของโจทก์กล่าวซ้ำ ๆ กันแต่ในเรื่องจำเลยเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บแล้วยักยอกเงินส่วนที่เรียกเก็บเกินมานั้นย่อมเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องเจาะจงความผิดตาม ม.135 โดยตรงไม่มีข้อความให้เห็นว่ามุ่งถึง ม.131 เลย
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้องศาล.
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้องศาล.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าพนักงาน: จำเลยถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บเงินภาษีเกินและยักยอก ศาลยกฟ้องเนื่องจากฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ตาม กฎหมายอาญา มาตรา131 เป็นบทบัญญัติเรื่องเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของรัฐบาลซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาตามหน้าที่ของตนเมื่อฟ้องของโจทก์กล่าวซ้ำๆ กันแต่ในเรื่องจำเลยเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บแล้วยักยอกเงินส่วนที่เรียกเก็บเกินมานั้นย่อมเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องเจาะจงความผิดตาม มาตรา135 โดยตรงไม่มีข้อความให้เห็นว่ามุ่งถึง มาตรา131 เลย
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความสาหัสของบาดแผลและการรับสารภาพของจำเลยที่ไม่ผูกพันโจทก์ในการนำสืบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องบรรยายว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ทุพลภาพไม่สามารถประกอบหาเลี้ยงชีพได้เพราะความทุพลภาพเกินกว่า 20 วัน
แต่ในขณะที่โจทก์ฟ้องนั้นเอง นับทั้งวันเกิดเหตุได้เพียง 16 วันเท่านั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ฟังได้ว่าเมื่อเกินกว่า 20 วันไปแล้วผู้เสียหายก็ยังคงทุพลภาพด้วยทุกขเวทนากล้าหรือไม่สามารถประกอบการลี้ยงชีพตามปกติได้ กลับได้ความว่าในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องนั้นเองผู้เสียหายก็ได้มายื่นคำร้องต่อศาลได้ ฉนั้นผู้เสียหายอาจจะหายก่อนกำหนดเวลาที่ ก.ม.กำหนดไว้ก็ได้ ดังนี้แม้จำเยจะรับตามฟ้องของโจทก์ก็ตาม แต่ขณะโจทก์ฟ้องข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้อง ก็รับฟังเช่นนั้นไม่ได้ (จึงลงโทษจำเลยตาม ม.256 ไม่ได้ จำเลยควรมีความผิดตาม ม.254 เท่านั้น)
แต่ในขณะที่โจทก์ฟ้องนั้นเอง นับทั้งวันเกิดเหตุได้เพียง 16 วันเท่านั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ฟังได้ว่าเมื่อเกินกว่า 20 วันไปแล้วผู้เสียหายก็ยังคงทุพลภาพด้วยทุกขเวทนากล้าหรือไม่สามารถประกอบการลี้ยงชีพตามปกติได้ กลับได้ความว่าในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องนั้นเองผู้เสียหายก็ได้มายื่นคำร้องต่อศาลได้ ฉนั้นผู้เสียหายอาจจะหายก่อนกำหนดเวลาที่ ก.ม.กำหนดไว้ก็ได้ ดังนี้แม้จำเยจะรับตามฟ้องของโจทก์ก็ตาม แต่ขณะโจทก์ฟ้องข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้อง ก็รับฟังเช่นนั้นไม่ได้ (จึงลงโทษจำเลยตาม ม.256 ไม่ได้ จำเลยควรมีความผิดตาม ม.254 เท่านั้น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หลังศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอาญาแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บ ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัยพ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.อาญา ม.254 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดทั้งสองฐานพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ เช่นนี้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง(ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์) ต่อไปไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม หากศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม กฎหมายอาญา มาตรา254 จำคุก 2 ปีศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดทั้งสองฐานพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เช่นนี้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์) ต่อไปไม่ได้