พบผลลัพธ์ทั้งหมด 338 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาการยื่นคำขอพิจารณาใหม่และการขยายเวลาเมื่อวันครบกำหนดตรงกับวันหยุดราชการ
พนักงานเดินหมายปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2525ซึ่งจะมีผลในวันที่ 9 กรกฎาคม 2525 จำเลยมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ 9 ซึ่งจะครบในวันที่24 กรกฎาคม 2525 แต่เป็นวันเสาร์หยุดราชการ จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ในวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2525 ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงแม้จำเลยจะมิได้กล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ ก็ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญญา, การขยายเวลา, และสิทธิในการปรับสัญญาจากความผิดพลาดในการก่อสร้าง
จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างสะพานตามแบบแปลนต่อท้ายสัญญา โจทก์สร้างสะพานผิดแบบแปลนโดยแจ้งให้จำเลยทราบถึงสาเหตุที่จำเป็นแล้วและวิศวกรของจำเลยก็เห็นด้วย เมื่อกระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงแบบแปลนการก่อสร้างได้ตามที่จำเลยเสนอ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อสร้างสะพานผิดแบบแปลน
ตามสัญญาโจทก์จะต้องสร้างสะพานให้แล้วเสร็จและส่งมอบแก่จำเลยภายในวันที่ 27 มีนาคม 2522 เวลา 16.30 นาฬิกา แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างได้และประธานกรรมการตรวจการจ้างนัดตรวจงานในวันเดียวกันเวลา16.00 นาฬิกา และ ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อไปตามสัญญา หนังสือทั้งสองฉบับนี้จำเลยมีถึงโจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยมิได้กล่าวถึงกำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไป การที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปทั้งๆ ที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนายึดถือเอากำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างตามสัญญาเป็นสาระสำคัญจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปรับโจทก์เพราะโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าปรับคืนบางส่วน โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งแก้ฎีกาเป็นทำนอง ว่าพอใจตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้คืนค่าปรับทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยกปัญหาในเรื่องนี้ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าปัญหาเรื่องนี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ตามสัญญาโจทก์จะต้องสร้างสะพานให้แล้วเสร็จและส่งมอบแก่จำเลยภายในวันที่ 27 มีนาคม 2522 เวลา 16.30 นาฬิกา แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างได้และประธานกรรมการตรวจการจ้างนัดตรวจงานในวันเดียวกันเวลา16.00 นาฬิกา และ ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อไปตามสัญญา หนังสือทั้งสองฉบับนี้จำเลยมีถึงโจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยมิได้กล่าวถึงกำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไป การที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปทั้งๆ ที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนายึดถือเอากำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างตามสัญญาเป็นสาระสำคัญจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปรับโจทก์เพราะโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าปรับคืนบางส่วน โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งแก้ฎีกาเป็นทำนอง ว่าพอใจตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้คืนค่าปรับทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยกปัญหาในเรื่องนี้ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าปัญหาเรื่องนี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายเวลาขายฝากหลังครบกำหนดสัญญาเดิม เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496
สัญญาขายฝากที่ดินมีโฉนดทำเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2520 มีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 6 กรกฎาคม 2521 จำเลยผู้ซื้อฝากทำบันทึกไว้เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2521 และทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2521 ซึ่งเป็นวันที่ยังไม่ครบกำหนดเวลาขายฝากทั้งสองฉบับ มีใจความว่า ผู้ซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากต่อสัญญาขายฝากไปอีก 1 ปี โดยรับชำระเงินไว้ 300,000 บาท เงินที่ค้างอีก 320,000 บาท ผู้ขายฝากต้องเสียดอกเบี้ยฉบับหนึ่ง และอีกฉบับหนึ่งมีใจความว่าผู้ซื้อฝากจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนแก่ผู้ขายฝากในวันที่ 6 กรกฎาคม 2522 ข้อความในเอกสารทั้งสองฉบับแสดงให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าเป็นเรื่องที่จำเลยยอมขยายกำหนดเวลาขายฝากให้แก่โจทก์อีก 1 ปี จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 บันทึกทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่จะต้องขายที่ดินให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3470/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล: ต้องมีพฤติการณ์พิเศษตามมาตรา 23 วางหลักเกณฑ์การพิจารณา
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1กับอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมบางส่วน และกำหนดเวลาให้จำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียม จำเลยทั้งสองไม่ชำระ แต่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องและกำหนดเวลาให้จำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียมตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจศาลที่มีอยู่ทั่วไป ในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร แต่การที่จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ดังกล่าวอีก ย่อมต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งคำร้องโดยอาศัยบทบัญญัติดังกล่าวหาใช่อาศัยอำนาจที่มีอยู่ทั่วไปไม่
จำเลยทั้งสองขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนด โดยจำเลยอ้างว่าในช่วงระยะเวลาที่ต้องวางเงินตามคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นเทศกาลตรุษจีนตามประเพณีการค้าจะต้องคิดบัญชีหนี้สิน ประกอบกับจำเลยที่1 ล้มป่วยด้วยโรคหอบประจำตัวไม่ได้ประกอบอาชีพ ทำให้การค้าทรุดโทรมไม่สามารถหาเงินมาได้ทันในกำหนด ส่วนจำเลยที่ 3 อ้างว่า จำเลยที่ 3 เงินเดือนน้อยจะหยิบยืมจากผู้อื่นในระยะตรุษจีนเป็นการยากต้องรอให้พ้นระยะตรุษจีน ข้ออ้างดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่จะให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมได้
จำเลยทั้งสองขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนด โดยจำเลยอ้างว่าในช่วงระยะเวลาที่ต้องวางเงินตามคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นเทศกาลตรุษจีนตามประเพณีการค้าจะต้องคิดบัญชีหนี้สิน ประกอบกับจำเลยที่1 ล้มป่วยด้วยโรคหอบประจำตัวไม่ได้ประกอบอาชีพ ทำให้การค้าทรุดโทรมไม่สามารถหาเงินมาได้ทันในกำหนด ส่วนจำเลยที่ 3 อ้างว่า จำเลยที่ 3 เงินเดือนน้อยจะหยิบยืมจากผู้อื่นในระยะตรุษจีนเป็นการยากต้องรอให้พ้นระยะตรุษจีน ข้ออ้างดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่จะให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายเวลาชำระหนี้-ผิดสัญญาซื้อขาย: การขยายเวลาชำระหนี้มีผลผูกพันคู่สัญญา และการไม่ปฏิบัติตามหลังขยายเวลาถือเป็นผิดสัญญา
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพร้อมทั้งพืชไร่บางส่วนในที่ดินจากจำเลยโดยโจทก์ได้วางเงินมัดจำซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ซื้อขายกันให้จำเลยในวันทำสัญญา ส่วนเงินที่เหลือตกลงจะชำระในวันจดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งตกลงกันว่าจะจดทะเบียนโอนกันภายในสามเดือนนับแต่วันทำสัญญา ก่อนครบกำหนดสามเดือน โจทก์ขอขยายกำหนดชำระเงินและจดทะเบียนโอนที่ดินออกไปอีกสามเดือน จำเลยยอมขยายให้เพียงหนึ่งเดือน ดังนี้ มีผลเท่ากับคู่สัญญาได้ตกลงขยายกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ออกไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว แม้โจทก์จะไม่ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดเดิม โจทก์ก็ไม่ผิดสัญญา
ในระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่คู่สัญญาได้ตกลงขยายออกไปนั้น โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ได้กำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวภายหลังที่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่ได้ตกลงขยายระยะเวลาออกไปแล้ว มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทั้งมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าพร้อมจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และขอให้โจทก์ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามหนังสือบอกกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีเงินชำระค่าที่ดินที่ค้างอยู่แก่จำเลยหรือไม่
ในระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่คู่สัญญาได้ตกลงขยายออกไปนั้น โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ได้กำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวภายหลังที่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่ได้ตกลงขยายระยะเวลาออกไปแล้ว มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทั้งมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าพร้อมจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และขอให้โจทก์ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามหนังสือบอกกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีเงินชำระค่าที่ดินที่ค้างอยู่แก่จำเลยหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาใน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ และอำนาจขยายเวลาของรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มิได้กำหนดวิธีการนับระยะเวลาไว้ จึงต้องนำวิธีการกำหนดนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 158 มาใช้บังคับคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้รับคำร้องของนายเกรียงศักดิ์ นพศรี ลูกจ้าง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 จึงจะนับวันแรกที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้รับคำร้องรวมคำนวณด้วยไม่ได้กำหนดระยะเวลาเก้าสิบวันตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯมาตรา 125 จึงต้องเริ่มนับจาก วันที่ 28 พฤษภาคม 2524 และจะครบกำหนดเก้าสิบวันในวันที่ 25 สิงหาคม 2524
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 125 วรรคสองให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจในการขยายเวลาการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้อย่างกว้างขวาง ไม่มีข้อจำกัดหรือกำหนดวิธีการในการร้องขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งอนุญาตไว้แต่อย่างใด เมื่อมีคำขออนุมัติขยายเวลาชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไปอีกสามสิบวัน นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2524 ถึงวันที่ 24 กันยายน 2524 ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาตามคำขอนั้นแล้ว และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งก่อนครบกำหนดสามสิบวัน ตามที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลาออกไป คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 125 วรรคสองให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจในการขยายเวลาการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้อย่างกว้างขวาง ไม่มีข้อจำกัดหรือกำหนดวิธีการในการร้องขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งอนุญาตไว้แต่อย่างใด เมื่อมีคำขออนุมัติขยายเวลาชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไปอีกสามสิบวัน นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2524 ถึงวันที่ 24 กันยายน 2524 ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาตามคำขอนั้นแล้ว และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งก่อนครบกำหนดสามสิบวัน ตามที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลาออกไป คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาตามพรบ.แรงงานสัมพันธ์และการขยายเวลาพิจารณาของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มิได้กำหนดวิธีการนับระยะเวลาไว้จึงต้องนำวิธีการกำหนดนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 มาใช้บังคับคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้รับคำร้องของนายเกรียงศักดิ์นพศรี ลูกจ้าง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 จึงจะนับวันแรกที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้รับคำร้องรวมคำนวณด้วยไม่ได้กำหนดระยะเวลาเก้าสิบวันตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯมาตรา 125 จึงต้องเริ่มนับจาก วันที่ 28 พฤษภาคม 2524 และจะครบกำหนดเก้าสิบวันในวันที่ 25 สิงหาคม 2524
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 125 วรรคสองให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจในการขยายเวลาการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้อย่างกว้างขวาง ไม่มีข้อจำกัดหรือกำหนดวิธีการในการร้องขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งอนุญาตไว้แต่อย่างใด เมื่อมีคำขออนุมัติขยายเวลาชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไปอีกสามสิบวัน นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2524 ถึงวันที่24 กันยายน 2524 ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาตามคำขอนั้นแล้ว และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งก่อนครบกำหนดสามสิบวัน ตามที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลาออกไป คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 125 วรรคสองให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจในการขยายเวลาการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไว้อย่างกว้างขวาง ไม่มีข้อจำกัดหรือกำหนดวิธีการในการร้องขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งอนุญาตไว้แต่อย่างใด เมื่อมีคำขออนุมัติขยายเวลาชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไปอีกสามสิบวัน นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2524 ถึงวันที่24 กันยายน 2524 ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาตามคำขอนั้นแล้ว และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งก่อนครบกำหนดสามสิบวัน ตามที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลาออกไป คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจขยายเวลาอุทธรณ์ภาษีเป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมสรรพากรหรือรัฐมนตรีฯ ไม่ใช่เรื่องที่ศาลจะบังคับได้
อำนาจขยายหรือให้เลื่อนกำหนดเวลาตามความในมาตรา 3 อัฏฐแห่งประมวลรัษฎากร เป็นอำนาจของอธิบดีกรมสรรพากรหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในอันที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการโดยเฉพาะ เป็นคนละขั้นตอนกับการที่จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้พิพากษาบังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าคำสั่งของอธิบดีที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาการอุทธรณ์กระทำไม่ชอบหรือผิดกฎหมายอย่างใดอธิบดีกรมสรรพากรจึงมีอำนาจที่จะออกคำสั่งในเรื่องนี้ได้โดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอขยายเวลาอุทธรณ์หลังพ้นกำหนด – เหตุสุดวิสัยที่ไม่เพียงพอ
หลังจากเลยกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาเพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ โดยอ้างว่าทนายจำเลยมิได้แจ้งผลคดีให้จำเลยทราบว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเมื่อใด เพิ่งได้ทราบหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาได้ เหตุดังกล่าวหาใช่เหตุสุดวิสัยตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่ ศาลชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด และเหตุสุดวิสัย ศาลไม่อนุญาตขยายเวลาหากมิได้ดำเนินการก่อนหมดกำหนด
หลังจากเลยกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาเพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ โดยอ้างว่าทนายจำเลยมิได้แจ้งผลคดีให้จำเลยทราบว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเมื่อใด เพิ่งได้ทราบหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ แล้ว จึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาได้ เหตุดังกล่าว หาใช่เหตุสุดวิสัยตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่ศาลชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยเสีย