คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ครอบครองปรปักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จ: เจตนาครอบครองปรปักษ์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ในคดีก่อนประเด็นที่สำคัญของคดีก็คือ โจทก์ในคดีดังกล่าวได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีหรือไม่ จำเลยเบิกความแต่เพียงว่า ผ.ยกที่พิพาทให้โจทก์ในคดีดังกล่าวแต่ผู้เดียว จึงเป็นข้อเท็จจริงในส่วนปลีกย่อย ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808-2809/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินพิพาท, สิทธิของเจ้าหนี้, การครอบครองปรปักษ์, และการฟ้องขับไล่ที่ไม่สุจริต
แม้ว่าตามสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ที่3และจำเลยข้อ3มีว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าที่ดินให้โจทก์ที่3เป็นเวลา2เดือนถือว่าสละสิทธิและเงินที่ส่งมาถือเป็นค่าเช่าก็ตามแต่ตามทางปฏิบัติเมื่อชำระเงินมัดจำให้โจทก์ที่3จำนวน30,000บาทแล้วจำเลยได้ผ่อนชำระให้โจทก์ที่3เรื่อยมาแต่ไม่ติดต่อกันทุกเดือนและขาดส่งเกินกว่า2เดือนแล้วก็มีหลังจากนั้นเมื่อจำเลยชำระให้โจทก์ที่3ก็รับชำระอีกการซื้อที่ดินแปลงที่3ก็เช่นเดียวกันจำเลยได้ชำระค่าเช่าที่ดินจำนวน140,000บาทเท่านั้นแสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่3และจำเลยต่างไม่ถือเอากำหนดระยะเวลาในสัญญาข้อ3เป็นสาระสำคัญอีกต่อไปดังนั้นการเลิกสัญญาจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา387คือโจทก์ที่3จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรหากจำเลยไม่ชำระหนี้โจทก์ที่3จึงจะบอกเลิกสัญญาได้แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่3ได้บอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยและโจทก์ที่3จึงยังมีผลใช้บังคับอยู่ โจทก์ที่3ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและโอนการจัดสรรที่ดินให้โจทก์ที่1แม้ในสัญญาดังกล่าวจะไม่ระบุถึงจำเลยหรือผู้ซื้อที่ดินรายอื่นๆว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่3ก็ดีแต่ขณะที่โจทก์ที่7ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ที่1นั้นจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยรวมทั้งสร้างอู่ซ่อมรถยนต์ในที่ดินพิพาทก่อนแล้วและโจทก์ที่1ได้เคยเสนอขอแลกห้องแถวสองห้องของตนกับที่ดินพิพาทของจำเลยอีกด้วยแสดงว่าโจทก์ที่1รู้อยู่แล้วในขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดินและรับโอนการจัดสรรที่ดินซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่3ว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่3อยู่ก่อนและการที่โจทก์ที่2รับโอนที่ดินที่จัดสรรแทนโจทก์ที่1ก็ถือได้ว่าโจทก์ที่2ทราบแล้วว่าจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับโจทก์ที่3อยู่ก่อนแล้วเพราะโจทก์ที่1เป็นกรรมการของโจทก์ที่2อยู่ด้วยเมื่อโจทก์ที่1และที่2ทราบมาก่อนแล้วว่าจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่3การที่โจทก์ที่1และที่2ยังซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่3เช่นนี้การรับโอนในส่วนที่ดินพิพาทจึงมิได้เป็นไปโดยสุจริตการที่โจทก์ที่2นำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์ที่2ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ จำเลยกับโจทก์ที่3เท่านั้นที่เป็นคู่สัญญาในการซื้อขายที่ดินพิพาทกันโจทก์ที่1และที่2มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วยแม้โจทก์ที่1จะเป็นผู้ซื้อที่ดินซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ที่3โดยโจทก์ที่2เป็นผู้รับโอนแทนโจทก์ที่1โดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ก็หาได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่3ตกติดไปอันจะมีผลทำให้โจทก์ที่1และที่2ต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์ที่3กับจำเลยด้วยไม่ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่2แบ่งแยกที่ดินพิพาทเพื่อโอนให้แก่จำเลยได้ จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่3โดยยังชำระราคาไม่ครบถ้วนและการที่โจทก์ที่3โอนขายที่ดินรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่1โดยโจทก์ที่1ให้โจทก์ที่2รับโอนแทนนั้นเป็นการโอนโดยไม่สุจริตและเป็นทางให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบคดีของจำเลยจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237แต่จำเลยมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์ที่3กับโจทก์ที่2จึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้แต่ไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่จะนำคดีมาฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148(3) ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ที่3และจำเลยระบุให้จำเลยผู้ซื้อเข้าปลูกบ้านในที่ดินพิพาทได้ทันแม้ยังอยู่ระหว่างผ่อนชำระราคาก็ตามการที่จำเลยเข้าปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ที่3ไม่ใช่โดยอาศัยอำนาจของตนเองการครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นปรปักษ์จนกว่าจำเลยจะบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือให้โจทก์ที่3ทราบว่าจะยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนเองเมื่อจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ที่3แม้จะนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2340/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีมรดก และการไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
แม้ตามฟ้องโจทก์จะระบุชื่อโจทก์ที่1ว่ากองมรดกห.ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายก็ตามแต่เมื่ออ่านคำฟ้องของโจทก์ที่1โดยตลอดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าบ.ในฐานะผู้จัดการมรดกของห.เป็นผู้ฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของห.ที่บ.เป็นผู้จัดการมรดกดังนั้นการระบุชื่อโจทก์ที่1ดังกล่าวจึงเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำผิดแท้จริงแล้วเท่ากับบ.ฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดกของห.ถือได้ว่าโจทก์ที่1มีอำนาจฟ้อง จำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองมิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแม้จำเลยจะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: คำให้การและฟ้องแย้งไม่เคลือบคลุม แม้จะอ้างทั้งกรรมสิทธิ์เดิมและได้มาจากการครอบครองปรปักษ์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาหลายสิบปี แม้ไม่ได้บรรยายว่าครอบครองมาตั้งแต่เมื่อใด ปีไหน และครบกำหนดเวลาสิบปีเมื่อใดก็ตาม ก็เป็นรายละเอียดที่จำเลยอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
แม้จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าพื้นที่ในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องน่าเชื่อว่าอยู่ในแนวที่ดินของจำเลย หรือแม้จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายก็ไม่เป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเอง เพราะที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งเช่นนั้นเนื่องจากที่ดินของโจทก์และของจำเลยเป็นโฉนดรุ่นเก่าสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีหลักเขตแน่นอน เจ้าของเดิมและจำเลยได้ครอบครองกันเป็นส่วนสัดอย่างเป็นเจ้าของมานานย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นของจำเลย แต่หากเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่บรรยายให้เข้าใจสภาพที่ดินพิพาทว่ามีอยู่อย่างไรเป็นกรรมสิทธิ์ของใครอย่างไร คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: คำให้การและฟ้องแย้งไม่เคลือบคลุม แม้รายละเอียดไม่ชัดเจนในเบื้องต้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาหลายสิบปีแม้ไม่ได้บรรยายว่าครอบครองมาตั้งแต่เมื่อใดปีไหนและครบกำหนดเวลาสิบปีเมื่อใดก็ตามก็เป็นรายละเอียดที่จำเลยอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม แม้จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าพื้นที่ในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องน่าเชื่อว่าอยู่ในแนวที่ดินของจำเลยหรือแม้จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายก็ไม่เป็นคำให้การฟ้องแย้งที่ขัดกันเองเพราะที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งเช่นนั้นเนื่องจากที่ดินของโจทก์และของจำเลยเป็นโฉนดรุ่นเก่าสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่มีหลักเขตแน่นอนเจ้าของเดิมและจำเลยได้ครอบครองกันเป็นส่วนสัดอย่างเป็นเจ้าของมานานย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นของจำเลยแต่หากเป็นของโจทก์ทั้งสองจำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่บรรยายให้เข้าใจสภาพที่ดินพิพาทว่ามีอยู่อย่างไรเป็นกรรมสิทธิ์ของใครอย่างไรคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องครอบครองปรปักษ์ซ้ำซ้อน ศาลยกฟ้องตามหลักการห้ามฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่ 5 เมษายน 2484 บ. ด้วยความยินยอมของ จ.เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ โดย บ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 1841 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 1842ของโจทก์และ บ.ด้วยความรู้เห็นยินยอมของ จ.ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ใน พ.ศ.2499 โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่ 234 สูง 5 ชั้น ชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่ 419 ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่ 214/4 และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2 ชั้น รวม 7 คูหา โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้น ขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 419เฉพาะส่วนปลูกตึก 5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และตึกแถวเลขที่ 214/4 ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอน แม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วย ซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นอื่นเพิ่มเติม ศาลฎีกาพิจารณาแล้วว่าฟ้องซ้ำต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่ 5 เมษายน 2484 บ.ด้วยความยินยอมของ จ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ โดย บ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 1842 ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของ จ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ใน พ.ศ. 2499 โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234 สูง 5 ชั้น ชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419 ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่ 214/4 และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น รวม 7 คูหา โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้น ขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 419 เฉพาะส่วนปลูกตึก5 ชั้น และเรือนไม้เลขที่ 234 และตึกแถวเลขที่ 214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 419 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอน แม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวข้อง ศาลยกฟ้องตามมาตรา 148
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ.ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวเนื่อง ศาลฎีกาตัดสินฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ. ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: สิทธิครอบครองเดิมและภาระการพิสูจน์
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 โจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ส.ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้สมอ้าง ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
of 138