พบผลลัพธ์ทั้งหมด 588 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการชิงทรัพย์: การแบ่งหน้าที่และเจตนาพิเศษ
จำเลยกับว. ไปยังที่เกิดเหตุด้วยกันและคุยกันอยู่เป็นเวลาถึง10นาทีจึงแยกกันไปรออยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุพอว. กระชากเอาสร้อยคอของผู้เสียหายและวิ่งหนีป. สามีผู้เสียหายไปได้เพียง7-8เมตรจำเลยก็เข้าขัดขวางโดยกำหมัดยกแขนจะทำร้ายป. ทันทีแสดงว่าจำเลยกับว. แบ่งแยกหน้าที่กันทำและเป็นการร่วมกันชิงทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่แสดงเจตนาตกลงร่วมกันก่อนลงมือชิงทรัพย์ ถือเป็นการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ร่วมกัน
จำเลยกับว.ไปยังที่เกิดเหตุด้วยกันและคุยกันอยู่เป็นเวลาถึง10นาทีจึงแยกกันไปรออยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุพอว.กระชากเอาสร้อยคอของผู้เสียหายวิ่งหนีป.ไปได้เพียง7.8เมตรจำเลยก็เข้าขัดขวางโดยกำหมัดยกแขนจะทำร้ายป.ทันทีการกระทำของจำเลยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยกับว.ตกลงกันมาก่อนแล้วว่าเมื่อเกิดเหตุจำเลยมีหน้าที่กระทำอย่างไรเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันกระทำและเป็นการร่วมกับว.ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3087/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประโยชน์จาก พรบ.ล้างมลทิน ส่งผลต่อการเพิ่มโทษจำเลยในคดีชิงทรัพย์ แม้เคยต้องโทษมาก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานชิงทรัพย์ จำคุกคนละ10 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสามเป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 93 กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 15 ปีจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกาปรากฏว่าจำเลยทั้งสองพ้นโทษในคดีก่อนที่เป็นเหตุเพิ่มโทษก่อนวันที่ 6 เมษายน 2525 ไปแล้ว จึงได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2526 ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยถูกลงโทษในความผิดนั้นมาก่อน และเหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ไม่มีฝ่ายใดฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 จึงเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานโจทก์น่าสงสัย ไม่น่าเชื่อถือ คดีชิงทรัพย์ ยกฟ้อง
พยานโจทก์มีเหตุที่สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานโจทก์มีเหตุให้สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดชิงทรัพย์ จึงยกฟ้อง
พยานโจทก์มีเหตุที่สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3074/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ไม่มีบาดแผลชัดเจน ไม่ถึงขั้นอันตรายแก่กาย ลดโทษจากชิงทรัพย์เป็นทำร้ายร่างกาย
จำเลยชกต่อยผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอกหลายครั้งแพทย์ตรวจร่างกายผู้เสียหายแล้วไม่พบบาดแผล และไม่มีรอยฟกช้ำ เพียงแต่ผู้เสียหายบอกว่าเจ็บที่หน้าอกเวลากด แพทย์จึงมีความเห็นว่ากล้ามเนื้อที่หน้าอกช้ำรักษาประมาณ 5 วันหาย ลักษณะบาดแผลเช่นนี้ยังไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 การกระทำของจำเลยเป็นเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น
การที่ม.พี่ของจำเลยทราบจากคนอื่นพูดกันว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาของจำเลย เมื่อพบผู้เสียหาย ม. จึงเข้าไปสอบถามแล้วทันใดนั้นจำเลยก็เข้ามาชกต่อยผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้พูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลยในขณะเกิดเหตุ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปเพราะบันดาลโทสะ
การที่ม.พี่ของจำเลยทราบจากคนอื่นพูดกันว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาของจำเลย เมื่อพบผู้เสียหาย ม. จึงเข้าไปสอบถามแล้วทันใดนั้นจำเลยก็เข้ามาชกต่อยผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้พูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลยในขณะเกิดเหตุ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปเพราะบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องฐานชิงทรัพย์-พยายามฆ่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์และพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 288, 80 โดยบรรยายฟ้องมาด้วยว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายหลายครั้งจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บ ความผิดฐานชิงทรัพย์นั้นมีการกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยได้ร่วมทำร้ายผู้เสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องฐานชิงทรัพย์-พยายามฆ่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์และพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,288,80 โดยบรรยายฟ้องมาด้วยว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายหลายครั้งจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บความผิดฐานชิงทรัพย์ นั้นมีการกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยได้ร่วมทำร้ายผู้เสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องฐานชิงทรัพย์-พยายามฆ่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์และพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339,288,80โดยบรรยายฟ้องมาด้วยว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายหลายครั้งจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บความผิดฐานชิงทรัพย์นั้นมีการกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วยแม้ข้อเท็จจริงจะไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยได้ร่วมทำร้ายผู้เสียหายศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาแก้โทษและไม่ริบเสื้อของกลาง
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คน ร่วมปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นตายปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่ช่วยวางแผนให้คนร้าย 2 คน ไปกระทำผิดในสวนยางและขณะคนร้าย 2 คน ไปกระทำความผิดตามแผนที่วางแผนไว้ จำเลยยืนอยู่นอกสวนยางห่างสวนยางชั่วระยะตะโกนกันได้ยิน ในช่วงระยะเวลาที่คนร้าย 2 คน ดังกล่าวกระทำความผิด อ. บุตรผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ผ่านจำเลยเข้าไปในสวนยางที่เกิดเหตุ จำเลยก็มิได้ส่งสัญญาณให้คนร้าย 2 คน ดังกล่าวทราบหรือเข้าช่วยคนร้าย 2 คนนั้น คงยืนอยู่เฉย ๆ เมื่อคนร้าย 2 คนนั้นกระทำความผิดตามที่วางแผนไว้สำเร็จแล้วคนร้ายคนหนึ่งหลบหนีไปทางอื่น คนร้ายอีกคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตายผ่านหน้าจำเลยไปแล้วจำเลยก็กลับบ้าน การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับคนร้าย 2 คนนั้น โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่คนร้าย 2 คนดังกล่าวกระทำความผิด จำเลยจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของคนร้าย 2 คนดังกล่าว
เมื่อปรากฏว่าคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ของผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยการยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาเอาทรัพย์ไปจนเป็นเหตุให้เจ้าทรัพย์ถึงแก่ความตายมี 2 คน การกระทำของคนร้าย 2 คนดังกล่าว จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคท้าย
เสื้อแจกเกตของคนร้ายที่ทิ้งไว้รวมกับบางส่วนของทรัพย์สินของผู้ตายที่คนร้ายชิงไปถือไม่ได้ว่าเสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์สินที่คนร้ายได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด นอกจากนี้เสื้อดังกล่าวยังมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ศาลจะริบเสื้อดังกล่าวไม่ได้
เมื่อปรากฏว่าคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ของผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยการยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาเอาทรัพย์ไปจนเป็นเหตุให้เจ้าทรัพย์ถึงแก่ความตายมี 2 คน การกระทำของคนร้าย 2 คนดังกล่าว จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคท้าย
เสื้อแจกเกตของคนร้ายที่ทิ้งไว้รวมกับบางส่วนของทรัพย์สินของผู้ตายที่คนร้ายชิงไปถือไม่ได้ว่าเสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์สินที่คนร้ายได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด นอกจากนี้เสื้อดังกล่าวยังมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ศาลจะริบเสื้อดังกล่าวไม่ได้