พบผลลัพธ์ทั้งหมด 361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมเมื่อไม่มีการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน
ศาลชั้นต้นฟังว่า "ฯลฯ ขณะจับก็ยังพบ(โจทก์)คาดเข็มขัดตำรวจและมีนาฬิกาข้อมือที่ตามวิทยุว่าถูกลักมาอยู่ด้วยดังนี้ โจทก์ย่อมจะต้องถูกจับอยู่เองเป็นธรรมดา" ดังนี้ แม้นาฬิกาที่จับได้จากโจทก์เป็นยี่ห้อวิลน่า ส่วนตามวิทยุสั่งจับนั้นเป็นยี่ห้อฮอนซ่าก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่ฟังว่า จำเลยพบโจทก์มีนาฬิกาข้อมือตรงกับที่วิทยุว่านาฬิกาข้อมือเป็นของที่ถูกลัก อันเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นประกอบข้อพิรุธอื่น ๆ ของโจทก์ ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์เป็นพลตำรวจสำเริงซึ่งต้องหาว่าลักนาฬิกาข้อมือเท่านั้น ศาลชั้นต้นมิได้ฟังเลยไปถึงว่านาฬิกาที่โจทก์ใส่อยู่นั้นเป็นของร้าย อันเป็นของกลางที่จับได้จากโจทก์อย่างใด หาเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่
จำเลยเข้าใจว่า คำสั่งของร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้ทำการแทนผู้กำกับที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70 จำเลยไม่ต้องรับโทษ(อ้างฎีกาที่ 1135/2508)
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า " ฯลฯ ในเรื่องสาเหตุจำเลยที่ 2 ก็สามารถนำนางสาวน้อยหรือแมวมาเบิกความแสดงความบริสุทธิ์ได้อีกว่า แท้จริงจำเลยกับนางสาวน้อยหรือแมวไม่ได้เคยรู้จักกันเลย ฯลฯ " ดังนี้ เมื่อนางสาวน้อยหรือแมวซึ่งจำเลยนำสืบเบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน คดีจึงมีคำพยานสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นฟังว่านางสาวแมวไม่รู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อนไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน
จำเลยเข้าใจว่า คำสั่งของร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้ทำการแทนผู้กำกับที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70 จำเลยไม่ต้องรับโทษ(อ้างฎีกาที่ 1135/2508)
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า " ฯลฯ ในเรื่องสาเหตุจำเลยที่ 2 ก็สามารถนำนางสาวน้อยหรือแมวมาเบิกความแสดงความบริสุทธิ์ได้อีกว่า แท้จริงจำเลยกับนางสาวน้อยหรือแมวไม่ได้เคยรู้จักกันเลย ฯลฯ " ดังนี้ เมื่อนางสาวน้อยหรือแมวซึ่งจำเลยนำสืบเบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน คดีจึงมีคำพยานสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นฟังว่านางสาวแมวไม่รู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อนไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้นับโทษต่อหลังศาลอุทธรณ์แก้พิพากษา โจทก์ต้องฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อนั้นทันที
ฟ้องขอให้ลงโทษและขอให้นับโทษต่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและให้นับโทษต่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยผิดจริง แต่พิพากษาแก้ไม่นับโทษต่อให้ จำเลยฎีกา โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อครั้นศาลฎีกาวินิจฉัยเสร็จส่งคำพิพากษาพร้อมสำนวนคืน โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องขอให้นับโทษต่อในวันเดียวกับที่ศาลชั้นต้นได้รับสำนวน เช่นนี้ไม่ได้ เพราะเป็นคำร้องที่เป็นโทษแก่จำเลยและโจทก์ชอบที่จะฎีกาหรือแก้ฎีกาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1474/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการขอบเขตที่ดิน ศาลมิอาจพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำรั้วและนำชี้เขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของโจทก์ประมาณ 25 ตารางวา จำเลยให้การว่ามิได้รุกล้ำ หากรุกล้ำก็ได้ครอบครองเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยมาถึง 23 ปี แล้ว ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมากว่า 10 ปีแล้ว ศาลก็ย่อมจะพิพากษาเพียงว่าให้ยกฟ้องของโจทก์เท่านั้น จะพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้งด้วยมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1117/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน และผลของการพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่อง
ในคดีส่วนอาญา ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำเลยไปขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาท โจทก์ร้องคัดค้านเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบไม่ตกลง และสั่งให้โจทก์มาฟ้องภายใน 30 วัน โจทก์ไม่ฟ้อง จนเวลาล่วงเลยเกินกว่าปี เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องฟ้องภายในกำหนดดังกล่าว
จำเลยไปขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาท โจทก์ร้องคัดค้านเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบไม่ตกลง และสั่งให้โจทก์มาฟ้องภายใน 30 วัน โจทก์ไม่ฟ้อง จนเวลาล่วงเลยเกินกว่าปี เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องฟ้องภายในกำหนดดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ – การพิพากษาแก้โทษ – สิทธิฎีกา – ปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทโดยความเร็วสูงเกินอัตราที่กำหนดไว้ จนรถตกถนนพลิกหงายท้อง ทำให้คนโดยสารบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกและประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นฟ้องว่าจำเลยขับรถเร็วเกินอัตราเท่านั้น พิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ให้ปรับจำเลย 100 บาท ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกระทำโดยประมาททำให้คนโดยสารบาดเจ็บด้วย พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ด้วย ให้จำคุก 1 ปี นอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ว่า การที่รถจำเลยตกถนนพลิกหงายท้องนั้น มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีทางสาธารณะ: การใช้ทางโดยไม่มีหลักฐานทางกฎหมายไม่ทำให้เป็นทางสาธารณะ
ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า เหตุใดทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณะและสภาพของทางตามที่ได้ความในทางพิจารณาก็ไม่พอให้ฟังว่าเป็นทางที่มีขึ้น ทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมายโจทก์ก็จะขอให้บังคับให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านไปนั้นเปิดทางให้ใช้เป็นทางสาธารณะต่อไปหาได้ไม่
การที่มีพยานเบิกความว่า คนในตำบลหนึ่งกับอีกตำบลหนึ่งจะไปมาก็ต้องผ่านทางพิพาท การที่ต้องผ่านทางนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ที่ดินซึ่งทางพิพาทผ่านเข้าไปนั้นเจ้าของไม่ได้กั้นไม่มีคันเขตรั้ว บุคคลก็อาจพาปศุสัตว์ผ่านหรือเข้าไปได้อยู่แล้ว หรือแม้จะมีคันเขตรั้ว การผ่านหรือเข้าไปเช่นนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้น ทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณะเมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลก็บังคับจำเลยให้เปิดทางพิพาทเป็นทางสาธารณะไม่ได้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทมา15 ปีแล้ว โดยไม่มีใครห้ามจำเลยจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่
การที่มีพยานเบิกความว่า คนในตำบลหนึ่งกับอีกตำบลหนึ่งจะไปมาก็ต้องผ่านทางพิพาท การที่ต้องผ่านทางนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ที่ดินซึ่งทางพิพาทผ่านเข้าไปนั้นเจ้าของไม่ได้กั้นไม่มีคันเขตรั้ว บุคคลก็อาจพาปศุสัตว์ผ่านหรือเข้าไปได้อยู่แล้ว หรือแม้จะมีคันเขตรั้ว การผ่านหรือเข้าไปเช่นนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้น ทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณะเมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลก็บังคับจำเลยให้เปิดทางพิพาทเป็นทางสาธารณะไม่ได้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทมา15 ปีแล้ว โดยไม่มีใครห้ามจำเลยจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีไม้หวงห้าม ต้องพิจารณาประเภทไม้ที่ครอบครอง หากเป็นไม้แปรรูปแล้ว การลงโทษตามบทบัญญัติสำหรับไม้ยังไม่แปรรูปย่อมไม่ชอบ
ฟ้องว่าจำเลยมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามแปรรูปเป็นเสาถาก 75 ท่อน ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 และพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่4) พ.ศ.2503มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทลงโทษผู้มีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป และโจทก์นำสืบฟังได้ว่าไม้ของกลางเป็นไม้แปรรูป คือถากเป็นเสาแล้วดังนี้จะลงโทษจำเลยฐานมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์คณะผู้พิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นโมฆะ
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นั่งฟังแถลงการณ์ 3 นาย แล้วลงชื่อพิพากษา 2 นาย กับมีผู้พิพากษาที่มีได้นั่งฟังแถลงการณืและมิใช่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ร่วมลงชื่อด้วยอีก 1 นายทำให้คำพิพากษานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชอบที่ศาลฎีกาจะยกเสียและให้พิพากษาใหม่
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2503 และอ้างฎีกาที่ 1205/2473
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2503 และอ้างฎีกาที่ 1205/2473
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาแก้ของศาลอุทธรณ์ต้องไม่ขัดกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
ในกรณีที่ศาลแขวงพิพากษาว่า จำเลยไม่ได้กระทำการเรี่ยไรตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้องและสั่งไม่ริบเงินของกลาง ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ให้ริบเงินของกลางโดยถือว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิดไม่ได้เพราะเท่ากับเป็นการฟังข้อเท็จจริงใหม่ผิดจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ที่ไม่ชัดเจนจำนวนที่ยักยอกและอายุความ
ฟ้องว่า ยักยอกเงิน 2 ประเภท กล่าวบรรยายแต่ยอดเงินรวมมาว่า รวมเป็นเงินเท่าใด โดยมิได้แยกออกเป็นรายประเภทไว้ เพราะไม่ปรากฏแน่ชัดว่ายักยอกประเภทละเท่าใด เมื่อฟังว่าจำเลยยักยอกจริง แต่เงินประเภทหนึ่งได้ขาดอายุความฟ้องร้องเสียแล้ว และทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่าประเภทที่ยังไม่ขาดอายุความเป็นเงินเท่าใด ดังนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลกล่าวว่า ในชั้นนี้จำเลยยังไม่ต้องคืนหรือใช้ทรัพย์ได้