พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขาย: การพิสูจน์ข้อตกลงเพิ่มเติมขัดกับหลักฐานหนังสือ และผลของการผิดนัดตามสัญญา
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นหนังสือ แม้มีการวางเงินมัดจำด้วย การวางเงินมัดจำก็เป็นแต่เพียงข้อสัญญาข้อหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ตกลงทำสัญญากันด้วยการวางเงินมัดจำ การฟ้องร้องให้บังคับคดีจึงต้องอาศัยหลักฐานตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำไว้ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ที่ห้ามมิให้คู่ความนำสืบพยานบุคคลว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาอยู่อีก การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่ายังมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้เช่าที่ดินพิพาทตกลงจะซื้อโจทก์ยอมคืนเงินมัดจำและถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิกกันนอกเหนือข้อตกลงในสัญญาจึงต้องห้ามมิให้รับฟังและถือไม่ได้ว่ามีข้อตกลงดังกล่าว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกำหนดวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและชำระราคาส่วนที่เหลือไว้แน่นอน จำเลยไม่ไปตามนัดจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6417/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความวิกลจริตของผู้ทำพินัยกรรมและการบังคับใช้พินัยกรรม
สิทธิและหน้าที่ใด ๆ อันเกิดขึ้นตามพินัยกรรมจะบังคับเรียกร้องกันได้ตั้งแต่ผู้ทำพินัยกรรมตายเป็นต้นไป และกรณีจะพิสูจน์ว่าพินัยกรรมเป็นอันเสียเปล่าเพราะเหตุในเวลาที่ทำพินัยกรรมผู้ทำจริตวิกลอยู่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1704 วรรคสองนั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีข้อพิพาทกันว่าพินัยกรรมที่บุคคลวิกลจริตทำขึ้นนั้นเสียเปล่า โดยบุคคลผู้มีส่วนได้เสียได้กล่าวอ้างขึ้นเพื่อให้มีการพิสูจน์เช่นนั้น ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ทำพินัยกรรมยังมิได้ถึงแก่ความตายจึงยังถือไม่ได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องหรือเป็นกรณีที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อพิสูจน์ว่าขณะที่ผู้ร้องทำพินัยกรรมนั้น ผู้ร้องเป็นคนวิกลจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6357/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพลำพังไม่พอพิสูจน์ความผิด ต้องมีพยานหลักฐานอื่นประกอบ
พยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงมีแต่คำให้การการรับสารภาพของจำเลยตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.2 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนว่าจำเลยมีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุมดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้โดยลำพังเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบสนันสนุนว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6357/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาจำหน่ายยาเสพติด ต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนคำรับสารภาพของผู้ต้องหา
พยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงมีแต่คำให้การการรับสารภาพของจำเลยตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.2 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนว่า จำเลยมีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายคำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุมดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้โดยลำพัง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบสนับสนุนว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายพยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6266/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องพิสูจน์การไม่ใช้หรือหมดประโยชน์
การจะรับฟังว่าภาระจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า ทางภาระจำยอมมิได้ใช้สิบปีขึ้นไป ส่วนภาระจำยอมสิ้นไปตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5846/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมหลังหย่า: โจทก์ต้องพิสูจน์การเป็นหนี้ร่วมเพื่อให้บังคับชำระจากสินสมรสได้
หนี้ของจำเลยเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยหย่ากับผู้ร้อง เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าหนี้ของจำเลยรายนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเพื่อให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระหนี้จากสินสมรสและสินส่วนตัว โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้างเมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้รับฟังได้เช่นนั้น ผู้ร้องย่อมไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้ดังกล่าวและผู้ร้องมีสิทธิร้องขอกันส่วนของตนในที่ดินสินสมรสที่โจทก์นำยึดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5517/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับ vs ค่าเสียหาย: การบังคับใช้ตามสัญญาจ้างเหมาและการพิสูจน์ความเสียหายเพิ่มเติม
ค่าปรับรายวันตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างคือเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะใช้ให้แก่โจทก์เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 วรรคแรก นั่นเอง ส่วนค่าตัดลดเปลี่ยนแปลงรายการอันเป็นค่าเสียหายตามสัญญา จึงเป็นค่าสินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 381 วรรคสอง ที่ให้บังคับตามบัญญัติแห่งมาตรา 380 วรรคสอง โจทก์จะเรียกค่าเสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ต่อเมื่อโจทก์สามารถพิสูจน์ได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายสูงกว่าเบี้ยปรับที่กล่าวแล้ว โดยหากมีโจทก์ก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนที่สูงกว่าเบี้ยปรับนั้นอีกได้ สำหรับคดีนี้โจทก์เรียกค่าเสียหายซึ่งไม่สูงไปกว่าเบี้ยปรับที่โจทก์ได้รับดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5400/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีแย่งคืนที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์การมอบที่ดินให้ทำกินต่างดอกเบี้ย
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าโจทก์มอบที่ดินให้จำเลยทั้งสองทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้ว ถือว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธโดยมิได้ตั้งประเด็นขึ้นมาใหม่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้วนั้นเป็นเพียงเหตุผลของการปฏิเสธเท่านั้น โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า โจทก์มอบที่ดินให้จำเลยทั้งสองทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าลายมือชื่อของผู้ขายในหนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นของโจทก์
อ.เป็นผู้พิมพ์หนังสือสัญญาขายที่ดินและเป็นผู้จดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทย่อมเป็นพยานบุคคลที่ได้เห็นหรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะเบิกความเป็นพยานนั้นโดยตรง จึงเป็นประจักษ์พยาน ไม่ใช่พยานชั้นสอง
อ.เป็นผู้พิมพ์หนังสือสัญญาขายที่ดินและเป็นผู้จดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทย่อมเป็นพยานบุคคลที่ได้เห็นหรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะเบิกความเป็นพยานนั้นโดยตรง จึงเป็นประจักษ์พยาน ไม่ใช่พยานชั้นสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5400/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การนำสืบพยานในคดีที่พิพาทเรื่องการครอบครองที่ดิน: ผู้ฟ้องต้องพิสูจน์ข้ออ้างของตนเอง
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าโจทก์มอบที่ดินให้จำเลยทั้งสองทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้ว ถือว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธโดยมิได้ตั้งประเด็นขึ้นมาใหม่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลยทั้งสองแล้วนั้นเป็นเพียงเหตุผลของการปฏิเสธ โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าลายมือผู้ขายในสัญญาขายที่พิพาทเป็นของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5398/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: หลักการสันนิษฐานความเป็นเจ้าของตามโฉนด และภาระการพิสูจน์ของฝ่ายอ้างสิทธิ
การที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินโดยมีหลักฐานการรับโอนมาด้วยการซื้อขาย ซึ่งในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินและบ้าน โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างพยานหลักฐานของจำเลย เช่นนี้ ต้องฟังว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านดังกล่าว