พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนและการไถ่ขายฝาก: สิทธิไถ่ยังคงมีอยู่ แม้มีสัญญาอื่น
คดีนี้โจทก์เป็นผู้ฟ้องจำเลย ส่วนคดีหมายเลขดำที่ 2514/2533ของศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย มิใช่โจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 2514/2533 ของศาลชั้นต้นมาเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้อีกจึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อโจทก์ขายฝากที่ดินไว้แก่จำเลยทั้งสอง และได้ขอไถ่ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยทั้งสองต้องให้โจทก์ไถ่ทรัพย์ที่รับขายฝากไว้ ข้อที่ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีความผูกพันตามหนังสือสัญญาเพื่อประโยชน์ต่างตอบแทน เมื่อคู่กรณีจะต้องปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จะต้องโอนที่ดินที่ขายฝากให้จำเลยที่ 2 ก็เป็นเรื่องที่จะต้องบังคับกันอีกต่างหาก ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะไถ่ที่ดินที่ขายฝากรายนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิการครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน แม้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ ไม่ตัดสิทธิฟ้อง
ที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อโจทก์ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าหน้าที่ได้ออกไปทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนแล้วมีความเห็นควรออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นกำนันและจำเลยที่2ซึ่งเป็นนายอำเภอไปคัดค้านอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและจำเลยที่2ไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้ว แม้โจทก์จะมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่2ที่ให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน60วันนับแต่วันทราบคำสั่งก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่2จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจสั่งการไว้หาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5745/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดเครื่องหมายการค้า: การพิสูจน์ความเสียหายและขอบเขตความรับผิด
เอกสารท้ายฟ้องย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คำฟ้องจะชัดแจ้งหรือไม่ต้องพิจารณาทั้งหมด เมื่อปรากฏตามสำเนาคำสั่งและหนังสือคู่มือรับจดทะเบียนเอกสารท้ายฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทของ พ. ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่อง-หมายการค้ารูปวัวชนกันประกอบคำว่า ตราวัวชนกัน ซึ่งได้รับการจดทะเบียนแล้วดังนี้ เท่ากับโจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า โจทก์เป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงชัดแจ้งแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า จำเลยปลอมเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแล้วผลิตสินค้ายาฉุนเช่นเดียวกับสินค้าของโจทก์ออกขายเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์จำหน่ายสินค้าได้ลดลงอย่างมาก ต้องเสียหายขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เท่ากับโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 และ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 27 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาท โจทก์ไม่ว่าในฐานะผู้จัดการมรดกหรือในฐานะส่วนตัวย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55
เมื่อโจทก์ไม่อาจนำสืบเรื่องค่าเสียหายได้ถึงจำนวนตามฟ้องศาลจึงกำหนดค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์ได้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
เมื่อไม่ปรากฏว่าภายหลังจากวันฟ้องจำเลยในคดีอาญาข้อหาปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ปลอมต่อไปอีกโจทก์จึงไม่อาจเรียกให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้
เมื่อโจทก์ไม่อาจนำสืบเรื่องค่าเสียหายได้ถึงจำนวนตามฟ้องศาลจึงกำหนดค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์ได้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
เมื่อไม่ปรากฏว่าภายหลังจากวันฟ้องจำเลยในคดีอาญาข้อหาปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ปลอมต่อไปอีกโจทก์จึงไม่อาจเรียกให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีละเมิด: การรู้ตัวผู้รับผิดและการฟ้องร้องเกินกำหนด
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งที่เสนอต่ออธิบดีของโจทก์มีข้อความระบุไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์เสียหายเป็นเงิน181,080 บาท เห็นควรเรียกร้องหรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยที่ 1 และส.รองอธิบดีของโจทก์ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์เสียหายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาสำหรับข้อหาส่วนนี้ การที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิดเป็นคดีนี้ ดังนี้คดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาบังคับได้
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส.ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส.ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินและบ้านโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การฟ้องขับไล่ และการกำหนดค่าเสียหาย
++ เรื่อง ขับไล่ ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
++ การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า
++ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 40719,40720 และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงละ 1 หลัง มีชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของคนละหนึ่งโฉนดตามลำดับ ส่วนจำเลยเป็นสามีของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา
++
++ ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการที่โจทก์ทั้งสามรวมฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
++
++ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40719, 40720และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้คนละหนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนตามลำดับ จำเลยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็คือ ให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดไว้ ไม่จำต้องบรรยายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาอย่างใด ตั้งแต่เมื่อใด ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าเป็นวันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิด แต่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา และโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันทำละเมิด วันเวลาเช่นว่านั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
++ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า โจทก์แต่ละคนเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น
++
++ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามหรือของจำเลย และค่าเสียหายมีเพียงใด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์แต่ละคนต่างมีกรรมสิทธิ์ในบ้าน และที่ดินคนละโฉนดแยกกันเป็นส่วนสัด ซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนได้โดยลำพัง แม้จะฟ้องรวมกันมาเพราะถือว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน ฟ้องแย้งของจำเลยก็ได้แยกทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจากโจทก์แต่ละคนมาชัดเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
++ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าไปครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ไม่ใช่ด้วยความยินยอมของโจทก์ บ้านและที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนน้อยกว่าที่ศาล-อุทธรณ์กำหนด เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
++ การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า
++ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 40719,40720 และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงละ 1 หลัง มีชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของคนละหนึ่งโฉนดตามลำดับ ส่วนจำเลยเป็นสามีของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา
++
++ ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการที่โจทก์ทั้งสามรวมฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
++
++ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40719, 40720และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้คนละหนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนตามลำดับ จำเลยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็คือ ให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดไว้ ไม่จำต้องบรรยายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาอย่างใด ตั้งแต่เมื่อใด ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าเป็นวันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิด แต่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา และโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันทำละเมิด วันเวลาเช่นว่านั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
++ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า โจทก์แต่ละคนเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น
++
++ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามหรือของจำเลย และค่าเสียหายมีเพียงใด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์แต่ละคนต่างมีกรรมสิทธิ์ในบ้าน และที่ดินคนละโฉนดแยกกันเป็นส่วนสัด ซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนได้โดยลำพัง แม้จะฟ้องรวมกันมาเพราะถือว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน ฟ้องแย้งของจำเลยก็ได้แยกทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจากโจทก์แต่ละคนมาชัดเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
++ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าไปครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ไม่ใช่ด้วยความยินยอมของโจทก์ บ้านและที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนน้อยกว่าที่ศาล-อุทธรณ์กำหนด เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์มรดกต้องคำนึงถึงสิทธิทายาททุกคน การฟ้องแบ่งเฉพาะคู่ความอาจไม่บังคับได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าพนักงานที่ดินและให้จำเลยให้ความยินยอมในการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมจำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทคือโจทก์จำเลยและพี่น้องร่วมบิดามารดารวมทั้งหมด5คนเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกซึ่งมีทายาทคนอื่นนอกจากโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยแต่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยผู้เดียวแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์การกำหนดส่วนแบ่งตามคำขอของโจทก์อาจกระทบถึงสิทธิของทายาทคนอื่นซึ่งมิได้เข้ามาในคดีได้คำขอของโจทก์จึงไม่อาจบังคับได้ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์การประเมินภาษี: สิทธิในการอุทธรณ์และการฟ้องร้องบังคับรับอุทธรณ์
ตามคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันว่า การส่งหมายเรียกและหนังสือแจ้งการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้ส่งยังสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ ผลตามกฎหมายก็คือโจทก์ยังไม่ได้รับแจ้งการประเมิน กำหนดเวลาให้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีหรือผู้แทน ผู้แทนกรมอัยการ และผู้แทนกรมมหาดไทย ภายในสามสิบวัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินจึงยังไม่เริ่มนับเมื่อโจทก์ได้ทราบผลการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว โจทก์ย่อมอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ทันที เพราะถือว่ายังไม่พ้นกำหนดเวลาที่ ป.รัษฎากร มาตรา 30 (1) (ก) บัญญัติไว้
การอุทธรณ์การประเมินตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 นั้น โจทก์ต้องยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วย อธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้แทนผู้แทนกรมอัยการและผู้แทนกรมมหาดไทย และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวแล้วเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ กรมสรรพากรจำเลยที่ 1หามีหน้าที่ในการสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ และตามคำฟ้องโจทก์หาได้ยืนยันว่าอธิบดีกรมสรรพากรจำเลยที่ 2 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นผู้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะมาฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ การที่โจทก์ตีความเอาการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ขยายเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์มีผลเป็นการที่จำเลยที่ 1 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 กระทำในนามของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นประธานและตัวแทนจึงต้องรับผิดร่วมกันนั้น มีผลเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั่นเอง แม้จะเป็นดังกรณีที่โจทก์เข้าใจเอาเองดังกล่าวก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่โจทก์จะต้องมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องอีก เพราะหากผลการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเท่ากับคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อศาลได้ อำนาจฟ้องของโจทก์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
การอุทธรณ์การประเมินตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 นั้น โจทก์ต้องยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วย อธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้แทนผู้แทนกรมอัยการและผู้แทนกรมมหาดไทย และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวแล้วเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ กรมสรรพากรจำเลยที่ 1หามีหน้าที่ในการสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ และตามคำฟ้องโจทก์หาได้ยืนยันว่าอธิบดีกรมสรรพากรจำเลยที่ 2 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นผู้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะมาฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ การที่โจทก์ตีความเอาการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ขยายเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์มีผลเป็นการที่จำเลยที่ 1 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 กระทำในนามของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นประธานและตัวแทนจึงต้องรับผิดร่วมกันนั้น มีผลเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั่นเอง แม้จะเป็นดังกรณีที่โจทก์เข้าใจเอาเองดังกล่าวก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่โจทก์จะต้องมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องอีก เพราะหากผลการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเท่ากับคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อศาลได้ อำนาจฟ้องของโจทก์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3426/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดรหัสประเภทกิจการเงินสมทบทุนกองทุนเงินทดแทนและการหมดอายุการฟ้องร้อง
การที่โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนว่าสำนักงานกองทุนเงินทดแทนกำหนดรหัสประเภทกิจการของโจทก์ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงนั้นมิใช่เป็นการอุทธรณ์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องอัตราและวิธีเก็บเงินสมทบการวางเงินทดแทน ของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและการอุทธรณ์ลงวันที่11มิถุนายนพ.ศ.2516ในข้อ8เนื่องจากไม่ปรากฏว่าสำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้มีคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงรหัสประเภทกิจการและอัตราเงินสมทบของโจทก์แต่อย่างใดและการอุทธรณ์ตามข้อ8ไม่ต้องขอให้สำนักงานกองทุนเงินทดแทนวินิจฉัยก่อนดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวโจทก์มิได้ยื่นฟ้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยโจทก์จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 338/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยสั่งจ่ายเช็คค้ำประกันหนี้ของผู้อื่น โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นผู้ค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายรับผิดใช้เงินตามเช็คจำเลยที่1ให้การต่อสู้เพียงว่าจำเลยที่1ออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่2เมื่อเช็คพิพาทมีมูลหนี้จากการที่จำเลยที่1สั่งจ่ายประกันหนี้ของจำเลยที่2แก่โจทก์และจำเลยที่2ยังไม่ได้ชำระหนี้จำเลยที่1จึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์การที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับให้จำเลยที่1รับผิดตามเช็คพิพาทในฐานะผู้ค้ำประกันหาเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นหรือข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างจากฟ้องไม่ แม้จำเลยที่1ได้ให้การว่าหนี้ของจำเลยที่2เป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า50บาทเมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยที่1เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่2โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่2ก่อนเมื่อไม่ได้แล้วจึงจะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1นั้นแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยมิได้กำหนดประเด็นดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคัดค้านถือว่าจำเลยทั้งสองสละประเด็นข้อต่อสู้นั้นแล้วจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิยกขึ้นโต้เถียงในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3271/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วาระดำรงตำแหน่งประธาน/รองประธานสภาเทศบาลสิ้นสุดเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ การฟ้องขอให้ดำรงตำแหน่งเดิมจึงไม่สำเร็จ
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมสภาเทศบาลตำบลปากช่องและมติแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาเทศบาลตำบลปากช่องและมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่1และที่2เป็นประธานและรองประธานสภาเทศบาลตำบลปากช่องตามลำดับระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นสภาเทศบาลตำบลปากช่องได้ลงมติเลือกประธานและรองประธานสภาเทศบาลใหม่แล้วการดำรงตำแหน่งของประธานและรองประธานสภาเทศบาลตำบลปากช่องเดิมย่อมหมดวาระในการดำรงตำแหน่งต่อไปจึงไม่อาจจะพิพากษาให้โจทก์ที่1และที่2ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและจำหน่ายคดีจากสารบบความจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว