พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์เรื่องหนี้และการต่อสู้คดี เกินกรอบที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้เงินต้นค่าสินค้าที่สั่งซื้อจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าบริการสินเชื่อค่าทวงถามหนี้และค่าดำเนินการอื่นๆคิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่าไม่เคยติดต่อค้าขายมิได้เป็นหนี้ตามฟ้องไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสามมิได้ให้การต่อสู้เลยว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์แล้วการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้ค่าท่อระบายน้ำของโจทก์พร้อมดอกเบี้ยนั้นเป็นการที่ศาลชั้นต้นได้ฟังข้อเท็จจริงโดยปริยายแล้วว่าจำเลยทั้งสามได้ซื้อสินค้าตามฟ้องไปจากโจทก์และค้างชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ดังนี้ที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ครบถ้วนแล้วซึ่งจำเลยทั้งสามไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบที่ศาลชั้นต้นทั้งปัญหาดังกล่าวก็ไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยทั้งสามนั้นจึงชอบแล้ว จำเลยทั้งสามได้ให้การไว้เพียงว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ส.ฟ้องคดีแทนหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมส.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์แต่จำเลยทั้งสามกลับอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีมูลหนี้ค่าซื้อขายท่อระบายน้ำต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225อีกเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาท: ศาลชั้นต้นชอบแล้ว และถือว่าชี้ขาดคำคัดค้านแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวนหนึ่ง และเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยดอกเบี้ยทั้งสองจำนวน มิฉะนั้นให้บังคับจำนองทรัพย์สินที่นำมาเป็นประกัน จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยอ้างเหตุหลายประการด้วยกัน และยังต่อสู้เกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยด้วยเหตุหลายประการเช่นกัน ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใด โดยให้โจทก์นำสืบก่อน ย่อมครอบคลุมข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหมดแล้วหาจำต้องแยกแยะประเด็นเป็นข้อย่อยดังที่จำเลยยื่นคำแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทแต่อย่างใดอีกไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 183 ที่แก้ไขใหม่ ที่ใช้บังคับขณะศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 วรรคสี่โดยระบุไว้ด้วยว่า เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำคัดค้านเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่ารวมสำนวนไว้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่า ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังคำคัดค้านของจำเลย กรณีพอถือได้ว่า ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดคำคัดค้านเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 วรรคสี่โดยระบุไว้ด้วยว่า เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำคัดค้านเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่ารวมสำนวนไว้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่า ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังคำคัดค้านของจำเลย กรณีพอถือได้ว่า ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดคำคัดค้านเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นไม่จำเป็นต้องแยกประเด็นย่อย แม้จำเลยคัดค้าน
โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวนหนึ่งและเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยดอกเบี้ยทั้งสองจำนวนมิฉะนั้นให้บังคับจำนองทรัพย์สินที่นำมาเป็นประกันจำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยอ้างเหตุหลายประการด้วยกันและยังต่อสู้เกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยด้วยเหตุหลายประการเช่นกันดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่และจำเลยต้องรับผิดดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดโดยให้โจทก์นำสืบก่อนย่อมครอบคลุมข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหมดแล้วหาจำต้องแยกแยะประเด็นเป็นข้อย่อยดังที่จำเลยยื่นคำแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทแต่อย่างใดอีกไม่การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา183ที่แก้ไขใหม่ที่ใช้บังคับขณะศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา183วรรคสี่โดยระบุไว้ด้วยว่าเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำคัดค้านเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่ารวมสำนวนไว้ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ถูกต้องแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังคำคัดค้านของจำเลยกรณีพอถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดคำคัดค้านเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความค่าจ้างทนาย: เริ่มนับเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดี และฟ้องข้ามปีขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องคดีเมื่อ ป.พ.พ.บรรพ 1 ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535 ใช้บังคับ ดังนั้น คดีนี้จึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ.ที่มีการตรวจชำระใหม่
สัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก่จำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งการเริ่มนับอายุความในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าว่าความมีบัญญัติไว้ในป.พ.พ.มาตรา 193/12 ว่า "อายุความให้เริ่มนับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป..." และมาตรา 602 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ" โดยการที่ทำในคดีนี้คือการที่โจทก์เป็นทนายความว่าความแก้ต่างแก่จำเลยในศาลชั้นต้นและจำเลยจะต้องใช้สินจ้างแก่โจทก์เมื่อรับมอบการที่ทำ กรณีตามสัญญานี้ก็คือเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว แสดงว่าโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว
ส่วนที่สัญญาจ้างว่าความระบุไว้ว่าจำเลยตกลงจะได้ทำการขายที่ดินโดยเร็วโดยตั้งราคาไว้เป็นเงิน 3,500,000 บาท ซึ่งจำเลยผู้ว่าจ้างตกลงจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท หากขายได้ราคาต่ำกว่าข้างต้น จำเลยตกลงจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินที่ขายที่ดินดังกล่าวได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะขายที่ดินได้เท่าใด ค่าจ้างว่าความจะไม่ต่ำกว่า 280,000 บาท นั้น เป็นแต่เพียงการกำหนดจำนวนค่าจ้างว่าความว่าควรจะเป็นเท่าใดเท่านั้น โดยถือเอาจำนวนราคาขายที่ดินที่พิพาทในคดีที่ว่าจ้างเป็นตัวกำหนด แต่หากกำหนดไม่ได้ก็ต้องถือว่าค่าจ้างว่าความมีจำนวน 280,000 บาทเท่านั้น โดยมิได้มีกำหนดเวลาชำระค่าจ้างว่าความไว้ในสัญญาจ้างว่าความแต่อย่างใดดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ทำการตามสัญญาจ้างว่าความเสร็จสิ้น คือ ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว สิทธิที่โจทก์จะเรียกเอาสินจ้างย่อมเกิดขึ้นทันที ฉะนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความจากจำเลยจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในวันที่ 5 กันยายน2537 อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความ
สัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก่จำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งการเริ่มนับอายุความในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าว่าความมีบัญญัติไว้ในป.พ.พ.มาตรา 193/12 ว่า "อายุความให้เริ่มนับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป..." และมาตรา 602 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ" โดยการที่ทำในคดีนี้คือการที่โจทก์เป็นทนายความว่าความแก้ต่างแก่จำเลยในศาลชั้นต้นและจำเลยจะต้องใช้สินจ้างแก่โจทก์เมื่อรับมอบการที่ทำ กรณีตามสัญญานี้ก็คือเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว แสดงว่าโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว
ส่วนที่สัญญาจ้างว่าความระบุไว้ว่าจำเลยตกลงจะได้ทำการขายที่ดินโดยเร็วโดยตั้งราคาไว้เป็นเงิน 3,500,000 บาท ซึ่งจำเลยผู้ว่าจ้างตกลงจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท หากขายได้ราคาต่ำกว่าข้างต้น จำเลยตกลงจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินที่ขายที่ดินดังกล่าวได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะขายที่ดินได้เท่าใด ค่าจ้างว่าความจะไม่ต่ำกว่า 280,000 บาท นั้น เป็นแต่เพียงการกำหนดจำนวนค่าจ้างว่าความว่าควรจะเป็นเท่าใดเท่านั้น โดยถือเอาจำนวนราคาขายที่ดินที่พิพาทในคดีที่ว่าจ้างเป็นตัวกำหนด แต่หากกำหนดไม่ได้ก็ต้องถือว่าค่าจ้างว่าความมีจำนวน 280,000 บาทเท่านั้น โดยมิได้มีกำหนดเวลาชำระค่าจ้างว่าความไว้ในสัญญาจ้างว่าความแต่อย่างใดดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ทำการตามสัญญาจ้างว่าความเสร็จสิ้น คือ ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว สิทธิที่โจทก์จะเรียกเอาสินจ้างย่อมเกิดขึ้นทันที ฉะนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความจากจำเลยจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในวันที่ 5 กันยายน2537 อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้จากการไม่โต้แย้งประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนด และผลของการยอมรับทำสัญญาค้ำประกัน
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้องคงมีข้อต่อสู้เฉพาะอุปกรณ์แห่งหนี้ว่าไม่ต้องรับผิดเท่านั้นจึงย่อมรับฟังตามคำรับของจำเลยโดยไม่ต้องอาศัยตราสารได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้องจริงส่วนข้อต่อสู้เรื่องอุปกรณ์แห่งหนี้นั้นในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็ได้บันทึกไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาว่าส่วนที่จำเลยให้การว่าตามสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข5ในข้อ8โจทก์เติมข้อความ"ตลอดจนดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทน"โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยหรือค่าเสียหายอื่นใดนั้นโจทก์แถลงว่าตามสัญญาค้าประกันเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ในข้อ1ก็ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดตลอดจนดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนไว้ชัดเจนแล้วศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีประเด็นนี้อีกการที่จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้มีผลเท่ากับจำเลยได้ยอมรับผิดตามข้ออ้างของโจทก์ในส่วนนี้แล้วเพราะถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะคัดค้านไว้โดยเฉพาะคดีนี้จำเลยได้เสนอประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยมีสิทธิที่จะคัดค้านได้อยู่แล้วแต่ก็มิได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องประการใดประเด็นข้อพิพาทจึงต้องเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจะยกขึ้นคัดค้านในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1693/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลชั้นต้น/อุทธรณ์ ห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยรวม 11 กระทงจำคุกกระทงละไม่เกิน 2 ปี การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาว่า จำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจหรือไม่ และคดีมีเหตุรอการลงโทษหรือไม่นั้นจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีตลอดจนดุลพินิจของศาลล่างทั้งสองเป็นข้อชี้ขาดตัดสินฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลหลังรับอุทธรณ์ขายทอดตลาด: ศาลชั้นต้นหมดอำนาจสั่งการอื่นหลังส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์
ปัญหาที่ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์แล้ว ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องส่งอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา เลยขั้นตอนของศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งใด ๆ อีก แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งดังกล่าวโดยมิใช่ศาลอุทธรณ์เป็นผู้สั่งนั้น เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ แล้วให้มีหนังสือเปิดผนึกตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีร้องขอ ซึ่งก็มีผลเท่ากับให้โอนที่ดินทั้ง 4 แปลง ที่ผู้ซื้อทรัพย์ซื้อได้จากการขาย-ทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ตามความประสงค์ของผู้ซื้อทรัพย์และตามที่อุทธรณ์แล้วฎีกาข้อนี้ของผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 1 ไปแล้ว และไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านการขายทอดตลาด สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามกฎหมายมีอย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องมีคำพิพากษารับรองให้อีกชั้นหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 1 ไปแล้ว และไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านการขายทอดตลาด สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามกฎหมายมีอย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องมีคำพิพากษารับรองให้อีกชั้นหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธการส่งอุทธรณ์และการบังคับคดีตามคำสั่งศาล: สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาด
ปัญหาที่ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกาว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์แล้วศาลชั้นต้นมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องส่งอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเลยขึ้นตอนของศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งใดๆอีกแต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งดังกล่าวโดยมิใช่ศาลอุทธรณ์เป็นผู้สั่งนั้นเมื่อปรากฎว่าศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์แล้วให้มีหนังสือเปิดผนึกตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีร้องขอซึ่งก็มีผลเท่ากับให้โอนที่ดินทั้ง4แปลงที่ผู้ซื้อทรัพย์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์และตามที่อุทธรณ์แล้วฎีกาข้อนี้ของผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดของจำเลยที่1ไปแล้วและไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านการขายทอดตลาดสิทธิของผู้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามกฎหมายมีอย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องมีคำพิพากษารับรองให้อีกชั้นหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์/ฎีกาได้ในคดีเยาวชน กรณีศาลชั้นต้นกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 จำคุก 4 ปี และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกและอบรมมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 104(2) คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อที่เกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน เมื่อจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กรอการลงโทษแก่จำเลยโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ให้และศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาดังกล่าว ตามมาตรา 124 ทั้งคดีไม่อาจมีการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ด้วย เพราะหากกฎหมายประสงค์จะให้มีการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้แล้ว ก็ชอบที่จะบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดเช่นเดียวกับการอนุญาตให้อุทธรณ์ ตามมาตรา122 ด้วย และกรณีไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 6 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 3 โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 3 มานั้น เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์/ฎีกาในคดีเยาวชน กรณีศาลชั้นต้นกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่3จำคุก4ปีและให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกและอบรมมีกำหนด3ปีนับแต่วันพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครองครัวฯมาตรา104(2)คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อที่เกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนเมื่อจำเลยที่3อุทธรณ์ขอให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กรอการลงโทษแก่จำเลยโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ให้และศาลอุทธรณ์ภาค3แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามมาตรา124ทั้งคดีไม่อาจมีการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ด้วยเพราะหากกฎหมายประสงค์จะให้มีการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้แล้วก็ชอบที่จะบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดเช่นเดียวกับการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา122ด้วยและกรณีไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา221โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯมาตรา6มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ดังนั้นการที่จำเลยที่3ฎีกาขอให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กรอการลงโทษแก่จำเลยที่3โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่3มานั้นเป็นการไม่ชอบ