พบผลลัพธ์ทั้งหมด 314 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาการก่อสร้างชำรุด: ผู้รับจ้างต้องรับผิดหากผู้ว่าจ้างไม่รับมอบโดยไม่อิดเอื้อน แม้พ้นอายุความ ก็หักกลบลบหนี้ได้
ผู้รับจ้างปลูกอาคารโดยชำรุดบกพร่องไม่ต้องรับผิดต่อเมื่อผู้ว่าจ้างรับมอบอาคารโดยไม่อิดเอื้อน เมื่อผู้ว่าจ้างทักท้วงผู้รับจ้างต้องรับผิดโดยมีอายุความ 1 ปี ตาม มาตรา 601 แต่เมื่อแรกที่ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกร้องยังอยู่ในกำหนด 1 ปี ฉะนั้นแม้พ้น 1 ปี แล้วผู้ว่าจ้างก็หักกลบลบหนี้ค่าจ้างที่ค้างชำระกับค่าเสียหายที่ผู้ว่าจ้างต้องรับผิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ตามบัญชีธนาคารและการแจ้งยอดหนี้ที่ลูกหนี้ไม่โต้แย้ง ถือเป็นการคิดบัญชีที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ธนาคารคิดดอกเบี้ยลงยอดเงินหักกลบลบหนี้เดือนละครั้งตามประเพณีของธนาคาร แล้วแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ ลูกหนี้ไม่โต้แย้งอย่างใดถือว่ามีการหักทอนบัญชีกัน ไม่ขัดต่อมาตรา856 ไม่ต้องให้เจ้าหนี้ลูกหนี้ร่วมตรวจสอบคิดบัญชีกันอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยฟ้องแย้งหักกลบลบหนี้ในคดีแพ่งเมื่อมีหนี้เงินถึงกำหนดชำระทั้งสองฝ่าย
ในคดีแพ่งนั้นเมื่อจำเลยถูกฟ้องแล้ว นอกจากจำเลยจะให้การปฏิเสธแล้วจำเลยย่อมมีสิทธิหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งได้หากหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและถึงกำหนดชำระแล้ว และเมื่อฟังว่าหนี้ที่ขอหักกลบลบหนี้มิใช่เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยก็ย่อมได้ประโยชน์และศาลจะต้องพิพากษาให้ในจำนวนที่เหลือจากหักกลบลบหนี้กันแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไป เมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกัน และถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่าย เมื่อฟังเป็นจริงด้วยกันแล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหัก จึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไป เมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกัน และถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่าย เมื่อฟังเป็นจริงด้วยกันแล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหัก จึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในการหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งเมื่อถูกฟ้องร้อง
ในคดีแพ่งนั้นเมื่อจำเลยถูกฟ้องแล้ว นอกจากจำเลยจะให้การปฏิเสธแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งได้หากหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและถึงกำหนดชำระแล้วและเมื่อฟังว่าหนี้ที่ขอหักกลบลบหนี้มิใช่เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยก็ย่อมได้ประโยชน์และศาลจะต้องพิพากษาให้ในจำนวนที่เหลือจากหักกลบลบหนี้กันแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไปเมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกันและถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่ายเมื่อฟังเป็นจริงด้วยกัน แล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหักจึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไปเมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกันและถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่ายเมื่อฟังเป็นจริงด้วยกัน แล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหักจึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อมีการฟ้องเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ – คดีเดียวกันไม่อาจหักกลบลบหนี้
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ขอให้ศาลบังคับ จำเลยทั้งสามจึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ ดังนี้ จำเลยจะร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าจะทราบผลแห่งคำพิพากษาในคดีที่ฟ้องขอเพิกถอนนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการฟ้องคดีกรณีเดียวกันกับคดีเดิม หาใช่ฟ้องคดีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรกไม่ และหากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความตามคำร้องขอแล้ว จำเลยย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้: การพิสูจน์ข้อต่อสู้ของสิทธิเรียกร้อง และหน้าที่ในการสืบพยานเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริง แต่โจทก์ ก็เป็นหนี้จำเลยอยู่จำนวนหนึ่ง ขอหักกลบลบหนี้ ดังนี้ เมื่อโจทก์ยังมิได้โต้แย้งหรือยอมรับเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าสิทธิเรียกร้อง นั้น ยังมีข้อต่อสู้อยู่หรือไม่ จึงยังไม่ได้ความชัด หากโจทก์โต้แย้ง สิทธิเรียกร้อง ที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยจะนำมาขอหักกลบลบหนี้ไม่ได้ แต่ถ้าโจทก์ไม่มีข้อต่อสู้ จำเลยก็มีสิทธิขอหักกลบลบหนี้ได้ โดยหาจำต้องฟ้องแย้งไม่
เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาจะรับฟังมาวินิจฉัยข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกา คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ข้อ 3(ข) ประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาย่อมให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาจะรับฟังมาวินิจฉัยข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกา คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ข้อ 3(ข) ประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาย่อมให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หักกลบลบหนี้ระหว่างโจทก์จำเลย: เช็คค่ายางรถยนต์คืนสินค้า
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามจำนวนในเช็ค ซึ่งจำเลยออกชำระหนี้ค่ายางรถยนต์ที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยได้ซื้อยางรถยนต์และออกเช็คจริง แต่จำเลยคืนยางรถยนต์ให้โจทก์ 18 เส้น โจทก์ออกเครดิตโน้ตให้ไว้แล้วไม่คิดหักให้ โจทก์จึงไม่อาจจะฟ้องเรียกเอาเงินตามเช็คได้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังข้อต่อสู้ของจำเลย โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวถึงกำหนดชำระจึงชอบที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ และศาลชอบที่จะวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ได้โดยจำเลยไม่ต้องฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1,2 รับผิด ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามข้ออ้างในฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1,2 รับผิด ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามข้ออ้างในฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้โดยข้อตกลง: เจตนาต่อกันเพียงพอ ไม่ต้องฟ้องแย้งหรือทำเป็นหนังสือ
การหักกลบลบหนี้ซึ่งทำตามข้อตกลงของคู่กรณีนั้น อาจทำได้โดยการแสดงเจตนาต่อกัน ไม่ต้องฟ้องแย้ง และไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีซื้อขายหุ้น: การแจ้งเจตนาหักกลบลบหนี้ก่อนฟ้อง ไม่ถือเป็นการหักกลบลบหนี้ที่ระงับอำนาจฟ้อง
จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องว่า จำเลยได้เคยแจ้งแก่โจทก์แล้วว่า เงินค่าหุ้นของโจทก์ที่โจทก์มีสิทธิรับตามสัญญานั้น จำเลยขอหักกับส่วนหนึ่งของหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดแก่จำเลยตามสัญญา หนี้เงินค่าหุ้นของโจทก์จึงระงับไปแล้วทั้งสิ้น โจทก์จึงไม่อำนาจฟ้อง ดังนี้ ประเด็นเรื่องจำเลยขอหักกลบลบหนี้จึงไม่มี และเมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าว ประเด็นเรื่องสิทธิเรียกร้องของจำเลยตามคำให้การที่ขอหักหนี้ตามฟ้องโจทก์ จะมีข้อต่อสู้หรือไม่ จึงไม่มีเช่นกัน ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ก็รับวินิจฉัยต่อมา จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยฎีกาต่อมาศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ แม้จะแสดงเจตนาฝ่ายเดียวก็ได้ หากสิทธิเรียกร้องยังไม่ขาดอายุความ
การหักกลบลบหนี้นั้น แม้จำเลยจะแสดงเจตนาไปฝ่ายเดียวก็เป็นอันหักกลบลบหนี้กันได้
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ กำหนดชำระภายในวันที่ 1 เมษายน 2497และโจทก์เป็นหนี้ค่าจ้างว่าความจำเลยอยู่สองคดี คดีแรกคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2501 คดีที่สองคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2504 ดังนี้ จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่อาจหักกลบลบหนี้ได้แม้จำเลยจะได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2505 ซึ่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ค่าจ้างว่าความของจำเลยขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่สิทธิในการหักกลบลบหนี้ของจำเลยย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 344 และการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวก็มีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 วรรค 2กล่าวคือ หนี้ค่าจ้างว่าความคดีแรกย้อนไปถึง พ.ศ.2501 หนี้ค่าจ้างว่าความคดีที่สอง ย้อนไปถึง พ.ศ.2504 ซึ่งสิทธิเรียกร้องของจำเลยยังไม่ขาด จึงหักกลบลบกันกับหนี้เงินกู้ของโจทก์หมดสิ้นแล้วไม่มีหนี้ที่โจทก์จะนำมาฟ้องได้อีก
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ กำหนดชำระภายในวันที่ 1 เมษายน 2497และโจทก์เป็นหนี้ค่าจ้างว่าความจำเลยอยู่สองคดี คดีแรกคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2501 คดีที่สองคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2504 ดังนี้ จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่อาจหักกลบลบหนี้ได้แม้จำเลยจะได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2505 ซึ่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ค่าจ้างว่าความของจำเลยขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่สิทธิในการหักกลบลบหนี้ของจำเลยย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 344 และการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวก็มีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 วรรค 2กล่าวคือ หนี้ค่าจ้างว่าความคดีแรกย้อนไปถึง พ.ศ.2501 หนี้ค่าจ้างว่าความคดีที่สอง ย้อนไปถึง พ.ศ.2504 ซึ่งสิทธิเรียกร้องของจำเลยยังไม่ขาด จึงหักกลบลบกันกับหนี้เงินกู้ของโจทก์หมดสิ้นแล้วไม่มีหนี้ที่โจทก์จะนำมาฟ้องได้อีก