คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โจทก์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5319/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สิน: กรณีจำเลยเคยเช่าแล้วสัญญาหมดอายุ โจทก์มีสิทธิฟ้อง
ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยเช่าบ้านพิพาทของโจทก์เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่ได้ทำสัญญาเช่ากันไว้ แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องต่อมาว่า สัญญาเช่าบ้านพิพาทที่จำเลยมีต่อโจทก์ได้ครบกำหนดแล้ว และโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทอีกต่อไป การบรรยายฟ้องของโจทก์ในลักษณะนี้เป็นการบรรยายท้าวความย้อนให้จำเลยเข้าใจว่า เหตุที่จำเลยมีสิทธิเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทของโจทก์ในเบื้องแรกก็เนื่องมาจากโจทก์เคยให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทเป็นเวลา 3 ปี มาก่อนเท่านั้น เมื่อสัญญาเช่าบ้านระหว่างโจทก์กับจำเลยครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวต่อไป คำฟ้องโจทก์มิใช่คำฟ้องขอให้บังคับคดีตามสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 538 แห่ง ป.พ.พ. โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4776/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำวินิจฉัยอธิบดีกรมสรรพากรเป็นที่สุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากร
คำวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรที่กฎหมายบัญญัติให้ถือเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 มาตรา 17 นั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้กลั่นแกล้งหรือไม่สุจริต ผู้ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยจะอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(1)ไม่ได้ โจทก์ผู้ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยจึงไม่มีอำนาจฟ้อง การอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรตามมาตรา 7(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 หมายถึงกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานดังกล่าวเป็นที่สุดเท่านั้น หากมีกฎหมายบัญญัติให้คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรถือเป็นที่สุดก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติเป็นพิเศษเฉพาะ กรณีนั้น ๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434-455/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม + การครอบครองปรปักษ์ = ที่ดินไม่ตกเป็นของโจทก์
จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งมีปัญหาว่าเป็นที่ดินของโจทก์หรือของจำเลยนายอำเภอท้องที่ได้เรียกจำเลยไปพบและได้ทำบันทึกว่าได้เรียกบุคคลที่ปลูกเรือนอยู่ในบริเวณที่ดินของโจทก์มาตกลงกันและจำเลยยอมคืนที่ดินที่ครอบครองแก่โจทก์แต่ต่อมาจำเลยก็ร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดท้องที่คัดค้านและขอความเป็นธรรมที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปอยู่ในที่ดินโจทก์แม้จำเลยบางคนยอมทำสัญญาเช่ากับทางอำเภอแต่เห็นได้ว่าจำเลยดังกล่าวตกลงไปโดยเข้าใจผิดว่าที่ดินเป็นของโจทก์จึงเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาเช่าตกเป็น โมฆะ ตรงกันข้ามจำเลยดังกล่าวได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยภายหลังจำเลยบางคนได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ไม่ปรากฎว่าฝ่ายโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใดที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์ไม่ต้องกล่าวอ้างในฟ้อง
อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาตาม ป.วิ.พ มาตรา 172วรรคสอง โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์ไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่าคดีไม่ขาดอายุความ
อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาตามป.วิ.พมาตรา172วรรคสองโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษา: จำเลยปฏิบัติตามลำดับคำพิพากษาแล้ว โจทก์ไม่อาจเลือกวิธีการเรียกร้องอื่น
คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถแทรกเตอร์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา150,000บาทในการบังคับคดีจะต้องอาศัยคำพิพากษาเป็นหลักแห่งคำบังคับดังนั้นจึงต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังกันไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเมื่อจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยวิธีคืนรถแทรกเตอร์แก่โจทก์จึงเป็นการปฏิบัติตามลำดับของคำพิพากษาแล้วโจทก์จะเลือกวิธีการเรียกร้องให้จำเลยชำระราคารถแทรกเตอร์แก่โจทก์โดยจำเลยไม่ตกลงด้วยไม่ได้แม้รถแทรกเตอร์จะมีสภาพใช้งานไม่ได้โจทก์เสียหายอย่างไรก็จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างรุกล้ำแนวเขตและผลกระทบต่อแสงสว่าง-ลม โจทก์มีส่วนผิดและผลกระทบไม่ร้ายแรง
แม้จำเลยจะได้ก่อสร้างตึกแถวชิดแนวเขตที่ดินเกินไป แต่ก็มิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ และโจทก์เองก็ได้ปลูกบ้านชิดแนวเขตมากเกินไปด้วย โจทก์จึงมีส่วนผิดอยู่ด้วย ปรากฏว่าหลังคาตึกแถวจำเลยสูงกว่าหลังคาบ้านโจทก์เพียง 1 เมตรและยังมีช่องให้แสงสว่างเข้าได้พอสมควร ซึ่งลมก็ย่อมจะพัดผ่านบ้านโจทก์ได้บ้างแม้ไม่มากเหมือนดังเดิม ทั้งไม่ปรากฏว่าตึกแถวจำเลยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องลมหรือแสงสว่างแต่อย่างใด และในสภาวะที่บ้านโจทก์สร้างด้วยไม้ย่อมแก้ไขปรับปรุงได้ไม่ยาก ซึ่งก็ปรากฏว่าโจทก์ได้แก้ไขหน้าต่างไปแล้ว ในสภาพที่เป็นชุมชนผู้ที่อยู่อาศัยย่อมจะต้องยอมรับความลำบากอยู่บ้าง ฉะนั้นเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่ของบ้านโจทก์และจำเลยมาคำนึงประกอบแล้ว เห็นว่าโจทก์มิได้เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหลังจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องยื่นคำขอภายในกำหนดเวลา
เมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การเจ้าหน้าที่ศาลจะทำรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การเมื่อใดไม่ใช่ข้อสำคัญและหามีผลให้รายงานของเจ้าหน้าที่ศาลเป็นรายงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ ศาลชั้นต้นให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การภายในวันที่20พฤศจิกายน2534โจทก์จะต้องมีคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดในวันที่5ธันวาคม2534แต่วันดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการโจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำขอได้ในวันที่6ธันวาคม2534แม้ในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่ศาลจะรายงานต่อศาลว่าครบกำหนดที่จำเลยทั้งสองจะต้องยื่นคำให้การมานานแล้วแต่โจทก์มิได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การซึ่งไม่ถูกต้องแต่เมื่อช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ไม่ได้มีคำขอข้างต้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความในวันที่9ธันวาคม2534ซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันครบกำหนดให้โจทก์มีคำขอจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 338/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยสั่งจ่ายเช็คค้ำประกันหนี้ของผู้อื่น โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นผู้ค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายรับผิดใช้เงินตามเช็คจำเลยที่1ให้การต่อสู้เพียงว่าจำเลยที่1ออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่2เมื่อเช็คพิพาทมีมูลหนี้จากการที่จำเลยที่1สั่งจ่ายประกันหนี้ของจำเลยที่2แก่โจทก์และจำเลยที่2ยังไม่ได้ชำระหนี้จำเลยที่1จึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์การที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับให้จำเลยที่1รับผิดตามเช็คพิพาทในฐานะผู้ค้ำประกันหาเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นหรือข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างจากฟ้องไม่ แม้จำเลยที่1ได้ให้การว่าหนี้ของจำเลยที่2เป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า50บาทเมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยที่1เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่2โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่2ก่อนเมื่อไม่ได้แล้วจึงจะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1นั้นแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยมิได้กำหนดประเด็นดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคัดค้านถือว่าจำเลยทั้งสองสละประเด็นข้อต่อสู้นั้นแล้วจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิยกขึ้นโต้เถียงในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันโจทก์ต้องรับผิดชอบหนี้ร่วมกับจำเลยตามสัดส่วน แม้ข้อตกลงระบุเฉพาะเจ้านี้
แม้สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วมีใจความว่าจำเลยและหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดล. เป็นหนี้ค่าอาหารสัตว์กับบริษัทจ. โจทก์ขอรับผิดชดใช้หนี้ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งทั้งนี้ไม่เกินวงเงิน1,550,000บาทหากบริษัทบังคับให้จำเลยชำระหนี้แล้วโจทก์ไม่ยอมรับผิดในหนี้ดังกล่าวก็ยอมให้จำเลยบังคับคดีได้ทันทีโดยไม่ได้ระบุถึงหนี้ค่าอาหารสัตว์ของบริษัทก. จำกัดก็ตามแต่เมื่อบริษัทก.เป็นบริษัทในเครือของบริษัทจ. ค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันมีที่อยู่ที่เดียวกับบริษัทจ. มีกรรมการบริหารชุดเดียวกันและตามใบกำกับสินค้าแต่ละฉบับก็เป็นแบบพิมพ์เหมือนกันซึ่งมีทั้งออกในนามทั้งสองบริษัทแต่มีระบุว่าให้สั่งจ่ายเงินค่าสินค้าในนามบริษัทก. เท่านั้นหนี้สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าเป็นหนี้บริษัทจ. ก็คือหนี้รายเดียวกันกับที่จำเลยชำระให้บริษัทก. นั่นเองเมื่อจำเลยชำระหนี้แก่บริษัทก. แล้วโจทก์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยครึ่งหนึ่งตามข้อประนีประนอมยอมความเมื่อจำเลยได้ทวงถามโจทก์แล้วโจทก์เพิกเฉยโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยชอบจะใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ได้
of 104