พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัยการผู้ช่วยมีอำนาจลงนามฟ้องคดีอาญาได้ โดยอาศัยอำนาจของพนักงานอัยการตามกฎหมาย
อัยการผู้ช่วยก็มีอำนาจลงนามเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ เพราะอัยการผู้ช่วยก็เป็นพนักงานอัยการ (พ.ร.บ.อัยการ 2478 มาตรา 11) จึงอาจเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 28(1) ประกอบกับ พ.ร.บ.อัยการ 2478 มาตรา 19(1)
ศาลชั้นต้นสั่งไม่ประทับฟ้องที่อัยการเป็นโจทก์ โดยเห็นว่าผู้ลงนามเป็นโจทก์นั้นไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปนั้น จำเลยย่อมฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ เพราะคดีที่อัยการเป็นโจทก์เมื่อยื่นฟ้องก็ถือว่าผู้ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยทันทีผิดกับคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ผู้ถูกฟ้องไม่เป็นจำเลยจนกว่าศาลจะประทับฟ้อง
(ประชุมใหญ่)
ศาลชั้นต้นสั่งไม่ประทับฟ้องที่อัยการเป็นโจทก์ โดยเห็นว่าผู้ลงนามเป็นโจทก์นั้นไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปนั้น จำเลยย่อมฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ เพราะคดีที่อัยการเป็นโจทก์เมื่อยื่นฟ้องก็ถือว่าผู้ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยทันทีผิดกับคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ผู้ถูกฟ้องไม่เป็นจำเลยจนกว่าศาลจะประทับฟ้อง
(ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการฟ้องคดีอาญาของอัยการผู้ช่วย: อัยการผู้ช่วยมีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้
อัยการผู้ช่วยก็มีอำนาจลงนามเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ เพราะอัยการผู้ช่วยก็เป็นพนักงานอัยการ(พ.ร.บ.อัยการ 2478มาตรา 11) จึงอาจเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(1) ประกอบกับพ.ร.บ.อัยการ 2478 มาตรา 19(1)
ศาลชั้นต้นสั่งไม่ประทับฟ้องที่อัยการเป็นโจทก์ โดยเห็นว่าผู้ลงนามเป็นโจทก์นั้นไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปนั้น จำเลยย่อมฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ เพราะคดีที่อัยการเป็นโจทก์ เมื่อยื่นฟ้องก็ถือว่า ผู้ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยทันที ผิดกับคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ผู้ถูกฟ้องไม่เป็นจำเลยจนกว่าศาลจะประทับฟ้อง (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/2493)
ศาลชั้นต้นสั่งไม่ประทับฟ้องที่อัยการเป็นโจทก์ โดยเห็นว่าผู้ลงนามเป็นโจทก์นั้นไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปนั้น จำเลยย่อมฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ เพราะคดีที่อัยการเป็นโจทก์ เมื่อยื่นฟ้องก็ถือว่า ผู้ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยทันที ผิดกับคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ผู้ถูกฟ้องไม่เป็นจำเลยจนกว่าศาลจะประทับฟ้อง (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/2493)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีอาญา: การสอบถามข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจงไม่ถือว่าการสอบสวนเสียไป
การที่กฎหมายบัญญัติให้มีการสอบสวนเสียก่อนที่พนักงานอัยการนำคดีขึ้นฟ้องร้องนั้น ก็เพื่อประสงค์จะมิให้มีการฟ้องร้องกันง่าย ๆ ปราศจากหลักฐานเพราะจะเป็นการเดือดร้อนแก่จำเลย
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยนำสุกรออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาตและทราบประกาศแล้ว จำเลยรับว่าได้นำสุกรออกนอกเขตและได้ทราบประกาศแล้วจริง แต่สู้ว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนในข้อที่จำเลยได้ทราบประกาศหรือไม่ แม้คดีจะได้ความว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนข้อที่จำเลยทราบประกาศหรือไม่ ก็ยังถือได้ว่าได้มีการสอบสวนแล้ว และไม่เป็นเหตุที่จะให้ถือว่าการสอบสวนนั้นเสียไปแต่อย่างใด หรือจะถือว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้ทำการสอบสวนก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยนำสุกรออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาตและทราบประกาศแล้ว จำเลยรับว่าได้นำสุกรออกนอกเขตและได้ทราบประกาศแล้วจริง แต่สู้ว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนในข้อที่จำเลยได้ทราบประกาศหรือไม่ แม้คดีจะได้ความว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนข้อที่จำเลยทราบประกาศหรือไม่ ก็ยังถือได้ว่าได้มีการสอบสวนแล้ว และไม่เป็นเหตุที่จะให้ถือว่าการสอบสวนนั้นเสียไปแต่อย่างใด หรือจะถือว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้ทำการสอบสวนก็ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีอาญา: ความสมบูรณ์ของการสอบสวนและการรับคำให้การของจำเลย
การที่กฎหมายบัญญัติให้มีการสอบสวนเสียก่อนที่พนักงานอัยการนำคดีขึ้นฟ้องร้องนั้น ก็เพื่อประสงค์จะมิให้มีการฟ้องร้องกันง่ายๆ ปราศจากหลักฐานเพราะจะเป็นการเดือดร้อนแก่จำเลย
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยนำสุกรออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาตและทราบประกาศแล้ว จำเลยรับว่าได้นำสุกรออกนอกเขตและได้ทราบประกาศแล้วจริง แต่สู้ว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนในข้อที่จำเลยได้ทราบประกาศหรือไม่ แม้คดีจะได้ความว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนข้อที่จำเลยทราบประกาศหรือไม่ ก็ยังถือได้ว่าได้มีการสอบสวนแล้ว และไม่เป็นเหตุที่จะให้ถือว่าการสอบสวนนั้นเสียไปแต่อย่างใด หรือจะถือว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้ทำการสอบสวนก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยนำสุกรออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาตและทราบประกาศแล้ว จำเลยรับว่าได้นำสุกรออกนอกเขตและได้ทราบประกาศแล้วจริง แต่สู้ว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนในข้อที่จำเลยได้ทราบประกาศหรือไม่ แม้คดีจะได้ความว่าพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนข้อที่จำเลยทราบประกาศหรือไม่ ก็ยังถือได้ว่าได้มีการสอบสวนแล้ว และไม่เป็นเหตุที่จะให้ถือว่าการสอบสวนนั้นเสียไปแต่อย่างใด หรือจะถือว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้ทำการสอบสวนก็ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องข้อหาเดิม โจทก์ไม่อาจฎีกาขอลงโทษในข้อหาเดิมได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 249 ศาลชั้นต้นลงโทษตามมาตรา 254 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษตามมาตรา 251 ดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในข้อที่ให้ยกข้อหาของโจทก์ในฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 249 แล้วโจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 249 ไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 219
(อ้างฎีกา 773/2491)
(อ้างฎีกา 773/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาแพ่งระงับเมื่อจำเลยเสียชีวิตระหว่างพิจารณา
ในคดีอาญาสินไหม ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์และให้ใช้ราคาทรัพย์ด้วยนั้น เมื่อจำเลยตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ๆ ย่อมสั่งให้คดีส่วนอาญาของโจทก์เป็นอันระงับไปตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 77 ส่วนคดีส่วนแพ่งให้เลื่อนไปตามมาตรา 42 แห่ง ป.ม.วิ.แพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1148/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายใหม่เข้ามาใช้กลางคดี โทษเบากว่าใช้บังคับย้อนหลังได้
ในระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 ประกาศออกใช้เป็นกฎหมายแล้ว โดยยกเลิก พระราชบัญญัติภาษีชั้นใน จ.ศ.1248 และ พระราชบัญญัติภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2476 ที่โจทก์ฟ้องอ้างเป็นบทลงโทษจำเลยแล้ว มีบัญญัติความผิดและกำหนดโทษไว้ใหม่ตามมาตรา 32 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 8 พระราชบัญญัติภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2476 จึงต้องใช้กฎหมายใหม่เป็นบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 8
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุเด็กในคดีอาญา: การนับอายุ 16 ปีบริบูรณ์ตามกฎหมายลักษณะอาญา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าจำเลยเป็นเด็กอายุยังไม่เต็ม 16 ปีบริบูรณ์
โจทก์ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองใช้วิธีนับอายุจำเลยยังไม่ถูก ต้องนำมาตรา 16 แห่งป.ม.แพ่งฯ มาใช้จึงจะถูก ดังนี้ถือว่าโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างจำเลยมีอายุไม่เต็ม 16 ปี
การที่จะลงโทษจำเลยในคดีอาญาซึ่งมีอายุ 16 ปี ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานมาแล้วว่า ต้องนับอายุ 16 ปีบริบูรณ์ตามนัยฎีกาที่ 1738/2492 จะนับตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 16 หาได้ไม่
โจทก์ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองใช้วิธีนับอายุจำเลยยังไม่ถูก ต้องนำมาตรา 16 แห่งป.ม.แพ่งฯ มาใช้จึงจะถูก ดังนี้ถือว่าโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างจำเลยมีอายุไม่เต็ม 16 ปี
การที่จะลงโทษจำเลยในคดีอาญาซึ่งมีอายุ 16 ปี ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานมาแล้วว่า ต้องนับอายุ 16 ปีบริบูรณ์ตามนัยฎีกาที่ 1738/2492 จะนับตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 16 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับอายุผู้กระทำผิดในคดีอาญา: เกณฑ์อายุ 16 ปีบริบูรณ์ตามฎีกา 1738/2492
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าจำเลยเป็นเด็กอายุยังไม่เต็ม 16 ปีบริบูรณ์
โจทก์ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองใช้วิธีนับอายุจำเลยยังไม่ถูก ต้องนำมาตรา 16 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้จึงจะถูก ดังนี้ถือว่า โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างว่าจำเลยมีอายุยังไม่เต็ม 16 ปี
การที่จะลงโทษจำเลยในคดีอาญา ซึ่งมีอายุ 16 ปีศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานมาแล้วว่า ต้องนับอายุ16 ปีบริบูรณ์ตามนัยฎีกาที่ 1738/2492 จะนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 16 หาได้ไม่
โจทก์ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองใช้วิธีนับอายุจำเลยยังไม่ถูก ต้องนำมาตรา 16 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้จึงจะถูก ดังนี้ถือว่า โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างว่าจำเลยมีอายุยังไม่เต็ม 16 ปี
การที่จะลงโทษจำเลยในคดีอาญา ซึ่งมีอายุ 16 ปีศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานมาแล้วว่า ต้องนับอายุ16 ปีบริบูรณ์ตามนัยฎีกาที่ 1738/2492 จะนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 16 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทนาย: ค่าจ้างเมื่อศาลไม่รับฟ้อง คดีอาญา ยุตติด้วยเหตุโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยจ้างโจทก์เป็นทนายว่าความในคดีที่จำเลยถูกฟ้องหาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนา มีข้อสัญญากันว่าถ้าศาลพิพากษาหรือสั่งยกฟ้องในคดีดำที่ถูกฟ้องนั้น จำเลยจะให้ค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 1000 บาท โจทก์จึงทำคำร้องคัดค้านว่าโจทก์ในคดีนั้นไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ศาลจึงสั่งไม่ประทับรับฟ้องเพราะปรากฎว่า โจทก์ในคดีนั้นไม่ใช่สามีโดยชอบด้วย ก.ม.ของผู้ตาย ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนั้นจึงเป็นอันยุตติดังนี้ถือได้ว่า ตามสัญญาที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ดังกล่าวผูกมัดจำเลยให้ต้องจ่ายเงินแก่โจทก์ตามสัญญานั้นแล้ว แม้จำเลยจะถูกทายาทของผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องในกรณีนั้นอีก คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาก็ตาม