คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยานหลักฐาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ความผิดฐานพยายามฆ่าเมื่อมีคำรับสารภาพ: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพ
ในการสืบพยานโจทก์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลย ศาลต้องรับฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น หาใช่เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ไม่ จำเลยจึงอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9742/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐาน (สำเนาเช็ค) ในคดีแพ่ง การพิสูจน์หนี้และการชำระหนี้
ตามบัญชีระบุพยานของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 26 ตุลาคม 2554 อันดับที่ 5 และ 6 ได้ระบุถึงพยานเอกสารที่จำเลยทั้งสองอ้างเป็นพยานต่อศาล คือรายการยอดซื้อสินค้าและยอดชำระราคาสินค้าแก่โจทก์ทั้งหมด ตลอดจนสำเนาภาพถ่ายเช็คที่โจทก์ได้นำเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของโจทก์ทั้งหมดและได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ฉบับลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 อันดับที่ 2 ระบุเอกสารที่อ้างเป็นยอดซื้อสินค้าและยอดชำระราคาสินค้าของบริษัทสปริงคูล จำกัด (จำเลยที่ 1) ให้กับโจทก์ 1 แฟ้ม ทั้งแนบสำเนาเช็คซึ่งเป็นหลักฐานการชำระหนี้ค่าสินค้า (ที่ตรวจพบปัจจุบัน) รวม 13 ฉบับ ท้ายคำให้การ แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ยื่นบัญชีระบุพยานและพยายามรวบรวมเอกสารต่างๆ ที่จะอ้างเป็นพยานต่อศาลเท่าที่ทำได้เพื่อให้โจทก์ได้มีโอกาสตรวจสอบในเบื้องต้นเท่าที่มี จึงพอแปลได้ว่าเป็นการอ้างเหตุขัดข้องในการส่งเอกสารให้คู่ความอีกฝ่ายตรวจสอบ เมื่อพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า เอกสารทั้งหมดดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญในประเด็นแห่งคดีที่จะนำมาพิสูจน์ชี้ขาดผลแห่งคดีได้ และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)
แม้เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร แต่ขณะที่จำเลยทั้งสองนำสืบอ้างสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน โจทก์ก็มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านการนำสืบว่าไม่มีต้นฉบับ ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับสำเนาเอกสารว่าถูกต้องตรงกับต้นฉบับ ศาลจึงรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานขัดแย้งในคดีอาญา: ศาลต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังและมีเหตุผลหนักแน่น
บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและ ป. พยานโจทก์เป็นเพียงพยานบอกเล่า การวินิจฉัยพยานหลักฐานต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลยเว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 ผู้เสียหายให้การว่าขณะเกิดเหตุจำเลยยืนอยู่บนบ้านพักชั้นสาม ส่วน ป. ให้การว่าเห็นจำเลยอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านชั้นสาม ซึ่งขัดแย้งกับภาพถ่ายบ้านจำเลยที่ไม่มีระเบียงบ้าน ผู้เสียหายให้การว่าได้ยินเสียงจำเลยร้องหลังจากเสียงปืนนัดที่สองว่า "เครียดโว้ย นอนไม่หลับ" แต่ ป. ให้การว่าเมื่อได้ยินเสียงปืนนัดแรกหันไปเห็นจำเลยถืออาวุธปืนพกจ้องมาจากหน้าต่างบ้านชั้นสามแล้วยิงอีกหนึ่งนัด จำเลยพูดว่า "จบ" ผู้เสียหายให้การว่าขณะเกิดเหตุมีแสงไฟนีออนในบ้านจำเลยเปิดสว่างมองเห็นตัว ส่วน ป. ให้การว่าบ้านจำเลยไม่เปิดไฟ และพยานโจทก์ทั้งสองตรวจดูและลงชื่อรับรองความถูกต้องในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผ่านหน้าต่างชั้นสองของบ้าน คำให้การในชั้นสวบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองขัดแย้งแตกต่างกันโดยตลอด ส่อให้เห็นถึงความไม่ยึดมั่นต่อความจริง มุ่งจะเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยมากกว่า จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นในการรับฟัง การที่ศาลจะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้น จะต้องมีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด แต่โจทก์ไม่ได้ถามค้านหรือนำสืบให้เห็นในความไม่น่าเชื่อถือในคำเบิกความของพยานว่าเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลย จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นที่รับฟังได้มาสนับสนุน จึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางเพศเพื่อยืนยันความเป็นบิดร: พยานหลักฐานทางอีเมลและคำเบิกความ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีการตรวจสารพันธุกรรมเพื่อพิสูจน์ว่า เด็กชาย ธ. เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงให้ส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงว่า "รับเป็นคำคัดค้านของจำเลยทั้งสอง สำเนาให้โจทก์" การที่เมื่อถึงวันตรวจ จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมไปตรวจโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วศาลล่างทั้งสองนำบทข้อสันนิษฐานที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสองมาบังคับใช้นั้นไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 160 วรรคสาม เนื่องจากการจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อเท็จจริงที่ต้องการตรวจเป็นผลร้ายแก่คู่ความฝ่ายนั้นได้ ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งให้ไปตรวจเสียก่อน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงรับคำร้อง รับคำคัดค้านและสำเนาให้อีกฝ่าย ยังมิได้มีคำสั่งเลยว่าให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง คือโจทก์ จำเลยที่ 1 และเด็กชาย ธ. ไปดำเนินการตรวจสารพันธุกรรม กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 160 วรรคหนึ่ง จึงไม่อาจนำบทข้อสันนิษฐานเป็นผลร้ายตามมาตรา 160 วรรคสาม มาใช้บังคับในคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5197/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องไล่เบี้ยจากประกันภัยและการรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่ง
ป.พ.พ. มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นสองปีนับแต่วันวินาศภัย หมายความถึงว่าในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากผู้เอาประกันภัยจะใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยจะต้องฟ้องคดีภายใน 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย แต่ในกรณีของผู้รับประกันภัยที่เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่ก่อให้เกิดความเสียหาย กำหนดอายุความต้องเป็นไปตามสิทธิเท่าที่ผู้เอาประกันภัยจะพึงมีต่อบุคคลภายนอกแล้วแต่กรณี หาใช่ว่าจะต้องฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วยไม่ โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิของบริษัท ส. ผู้เอาประกันภัย ฟ้องไล่เบี้ยจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ส. กับไล่เบี้ยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันความเสียหายในการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 882 วรรคหนึ่ง และสิทธิเรียกร้องสำหรับความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันในความเสียหายในการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างตามที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้ให้ไว้แก่บริษัท ส. นายจ้าง กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องคดียังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ
การนำสืบข้อเท็จจริงในการพิจารณาคดีของศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 85 คู่ความย่อมมีสิทธินำสืบพยานหลักฐานได้ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร การที่โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานบุคคลคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 4 โดยขอส่งคำเบิกความของพยานที่เคยเบิกความไว้ในศาลแรงงานภาค 6 เป็นพยานเอกสาร ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ที่พึงกระทำได้ ประกอบกับทนายจำเลยที่ 2 และที่ 4 ยังแถลงยอมรับความถูกต้องของเอกสารว่า พยานเคยเบิกความดังคำเบิกความตามที่โจทก์อ้างส่งจริง ตามรายงานกระบวนพิจารณา ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจในอันที่จะรับฟังข้อเท็จจริงตามพยานเอกสารดังกล่าวได้ หาใช่เป็นการนำเอาคำเบิกความของพยานในคดีอื่นมารับฟังในคดีนี้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอบังคับให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันพนักงาน โดยแนบสัญญาค้ำประกันพนักงานมาท้ายฟ้องด้วย อันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ซึ่งตามสัญญาค้ำประกันพนักงานข้อ 1 มีข้อความว่า จำเลยที่ 4 ยินยอมรับผิดชอบในความเสียหายอย่างลูกหนี้ร่วม ย่อมเรียกได้ว่าโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องและประสงค์จะให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมแล้ว คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม จึงไม่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง อันจะเป็นการต้องห้าม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4927/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในคดีฟอกเงิน ต้องพิจารณาพฤติการณ์การกระทำความผิดมูลฐาน ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหา
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดมาตรการต่างๆ ให้สามารถดำเนินการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้มีคณะกรรมการธุรกรรมคณะหนึ่งเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติ โดยมาตรา 34 (1) และ (3) บัญญัติให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และดำเนินการตามมาตรา 48 ซึ่งได้แก่ อำนาจในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราวในกรณีที่ตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน จำหน่าย หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด โดยไม่มีบทบัญญัติใดจำกัดช่องทางการรับทราบรายงานและข้อมูลการทำธุรกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนที่มาตรา 13, 15 และ 16 บัญญัติให้สถาบันการเงิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สำนักงานที่ดินจังหวัด สำนักงานที่ดินสาขาหรือสำนักงานที่ดินอำเภอ รวมถึงผู้มีอาชีพเกี่ยวกับการดำเนินการหรือให้คำแนะนำในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือเคลื่อนย้ายเงินทุน มีหน้าที่ต้องรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ก็เป็นการกำหนดหน้าที่แก่หน่วยงานหรือบุคคลดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ เนื่องด้วยเล็งเห็นว่าเป็นหน่วยงานและบุคคลที่รับทราบข้อมูลการทำธุรกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินในเบื้องต้นมาตามอำนาจหน้าที่ของตน เพื่อที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจะได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ต่อไป อันเป็นมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้สัมฤทธิ์ผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนั่นเอง หาใช่เป็นบทบัญญัติบังคับให้คณะกรรมการธุรกรรมต้องรับรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเฉพาะที่มาจากหน่วยงานหรือบุคคลดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ การที่พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอันเป็นความผิดมูลฐานเป็นผู้เสนอรายงานและข้อมูลการทำธุรกรรมให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินแล้วคณะกรรมการธุรกรรมได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ต่อมาจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานที่ไม่หนักแน่นเพียงพอ และการรับฟังคำรับสารภาพที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ศาลยกฟ้อง
บันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เป็นพยานบอกเล่าอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธต่อศาลและไม่มีข้อเท็จจริงแวดล้อมน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ลำพังรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ยิ่งบันทึกคำให้การของผู้ให้ถ้อยคำ ซึ่งจำเลยให้การปรักปรำตนเองโดยเจ้าพนักงานตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหา ทำให้จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตน จึงเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยเจ้าพนักงานตำรวจยังไม่ได้ปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 นอกจากจะเป็นพยานบอกเล่าแล้วยังไม่ชอบธรรมที่จะรับฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลย ย่อมไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4626/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีมรดก การครอบครองปรปักษ์ และข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์ในการฎีกา
ป.วิ.พ. มาตรา 94 บังคับแก่กรณีห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสารหรือนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น หมายถึงกรณีที่จำต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเพื่อพิสูจน์ความจริงตามข้ออ้างเกี่ยวกับสิทธิที่ใช้เป็นหลักในการฟ้องคดี แต่สำหรับคดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องอ้างสิทธิความเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ก. โดยจำเลยจดทะเบียนนิติกรรมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินมรดกไว้แทนโจทก์ทั้งห้า จึงใช้สิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของตนคืน กรณีมิใช่ใช้สิทธิฟ้องคดีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง การวินิจฉัยโดยรับฟังพยานบุคคลเป็นหลักในการพิจารณา ชอบต่อการรับฟังพยานหลักฐานแล้ว
แม้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ แบบบันทึกการสอบสวนการโอนมรดกจะเป็นเอกสารมหาชนซึ่งมาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง แต่ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดที่จะต้องรับฟังตามนั้น โจทก์ทั้งห้านำพยานเข้าสืบหักล้างได้ไม่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 94
ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมานาน 30 ปี ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและเปิดเผย โจทก์ทั้งห้าไม่เคยฟ้องเรียกที่ดินคืน คดีขาดอายุความนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาว่าฟ้องขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงก่อนว่า จำเลยเข้าครอบครองที่ดินมรดกซึ่งยังไม่ได้แบ่งปันไว้แทนโจทก์ทั้งห้าหรือไม่ จึงจะสามารถวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่าฟ้องโจทก์ทั้งห้าขาดอายุความหรือไม่ เป็นฎีกาที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งห้าคนละหนึ่งส่วน คิดเป็นเงินรวม 319,000 บาท แม้โจทก์ทั้งห้าฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4626/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์มรดก การรับฟังพยานหลักฐาน และข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์ในการฎีกา
กรณีห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสารหรือนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร หมายถึงกรณีที่จำต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเพื่อพิสูจน์ความจริงตามข้ออ้างเกี่ยวกับสิทธิที่ใช้เป็นหลักในการฟ้องคดี แต่ในคดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องอ้างสิทธิความเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกนาย ก. โดยจำเลยจดทะเบียนนิติกรรมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินทรัพย์มรดกไว้แทนโจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าใช้สิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของตนซึ่งจำเลยถือครองไว้แทนคืนได้ กรณีมิใช่การใช้สิทธิฟ้องคดีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง และส่วนข้ออ้างว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แบบบันทึกการสอบสวนการโอนมรดกเป็นเอกสารมหาชนนั้น แม้เอกสารดังกล่าวจะเป็นเอกสารมหาชนซึ่งตามมาตรา 127 แห่ง ป.วิ.พ. ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง แต่ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดที่จะต้องรับฟังตามนั้น เมื่อโจทก์ทั้งห้านำพยานเข้าสืบหักล้างถึงความเป็นมาอันแท้จริงว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยมานั้นไม่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 94
ปัญหาว่าฟ้องขาดอายุความหรือไม่ จะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยเข้าครอบครองที่ดินมรดกซึ่งยังไม่ได้แบ่งปันไว้แทนโจทก์ทั้งห้าหรือไม่ จึงจะสามารถวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่าฟ้องโจทก์ทั้งห้าขาดอายุความหรือไม่ เป็นฎีกาที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งห้าคนละหนึ่งส่วน คิดเป็นเงินรวม 319,000 บาท แม้โจทก์ทั้งห้าจะฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาส่วนนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4499/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจที่ยังมิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ หากศาลอนุญาตให้ขีดฆ่าภายหลัง
ป.รัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า "ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้ และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114" บทบัญญัตินี้ไม่ได้บังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในขณะที่ทำตราสารแต่อย่างใด และมิได้บัญญัติว่า ตราสารที่มิได้ปิดอากรแสตมป์หรือขีดฆ่าใช้บังคับไม่ได้ แต่กลับบัญญัติให้มีการปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในภายหลังได้ ดังนั้น เมื่อหนังสือมอบอำนาจได้ปิดอากรแสตมป์แล้วและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขีดฆ่าในระหว่างการพิจารณาจึงเป็นเอกสารที่รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
of 259